“วัดวชิราลงกรณวราราม วรวิหารเป็นพระอารามหลวงในคณะธรรมยุต อยู่ในชุมชนใหญ่ ที่สำคัญคือเป็นวัดในปรมาภิไธยของในหลวงรัชกาลปัจจุบัน เจ้าของที่คือคุณย่าทิพย์ นิยมเหตุ สร้างถวายแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ในสมัยที่พระองค์ทรงพระเยาว์ ทีนี้ หลวงพ่อมารักษาการเจ้าอาวาสช่วงปี 2557-58 แล้วมาอยู่รับตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อปี 2563 ก็มาศึกษาดูสภาพสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่ ภูมิประเทศ ชุมชน ก็มีแนวคิดอยากพัฒนาพื้นที่ของวัดให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนให้มากที่สุด เป็นประโยชน์ต่อศาสนา และเป็นประโยชน์ต่อพระเณร
เนื่องจากวัดมีพื้นที่จำนวนมาก เจ้าอาวาสสมัยก่อนมอบให้โรงเรียนประถมวัดวชิราลงกรณวราราม 20 ไร่ มอบให้โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม 50 ไร่ พื้นที่เหลือปัจจุบัน 150 ไร่ ซึ่งมีที่ว่างเปล่าเป็นป่ารกอยู่ 53 ไร่ หลวงพ่อศึกษาจากสื่อบ้าง ไปดูงานเรื่องโคกหนองนามาบ้าง เลยมีแนวคิดทำโครงการโคกหนองนาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อเป็นประโยชน์กับชุมชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่ลำบากยากจน ประกอบกับช่วงที่มาทำใหม่ๆ มีโควิดเข้ามา คนตกงานก็เยอะ คนว่างงานก็เยอะ การเป็นอยู่ลำบาก ทำมาหากินฝืดเคือง หลวงพ่อก็ได้ประชุมคณะกรรมการบริหารวัด กรรมการก็เห็นชอบ จึงหาแนวทาง หาท่านผู้รู้ ได้อาจารย์โอ๋ (ปรเมศวร์ สิทธิวงศ์ – เขาใหญ่ พาโนราม่า ฟาร์ม) อาจารย์เกศ (เกศแก้ว ทิวาเวช – ศูนย์การเรียนรู้ปูทะเลย์หนองน้ำแดง) และอาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) เป็นที่ปรึกษา เป็นคนออกแบบ
เริ่มจากการศึกษาพื้นที่ ออกแบบพื้นที่ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ มีการประชุม วางแผน ลงมือปฏิบัติการ ปรับปรุงภูมิทัศน์ ขุดบ่อน้ำ พัฒนาพื้นที่ส่วนต่างๆ แล้วก็มีการประชุมชาวบ้าน รับสมัครผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยมีจุดประสงค์ว่าจะทำพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน อย่างน้อยๆ การทำอยู่ทำกิน ปลูกผัก พืชพรรณธัญญาหาร โดยวัดจะให้พื้นที่ หาน้ำให้ หาปุ๋ยให้ อำนวยความสะดวกให้ เมื่อเกิดผลขึ้นมาแล้วปล่อยให้ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง ก็ปรากฏว่ามีชาวบ้านมาสมัครเข้าร่วมโครงการ 40 กว่าราย หลวงพ่อก็แบ่งพื้นที่ 53 ไร่ออกเป็นแปลงๆ มากบ้างน้อยบ้าง บางแปลง 1 งาน บางแปลง 2 งาน บางแปลงครึ่งงาน รวมทั้งแบ่งให้โรงเรียนประถมฯ 1 แปลง โรงเรียนมัธยมฯ 1 แปลง เพื่อให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของเด็กด้วย
สมาชิกที่เข้าโครงการก็มีข้อกำหนดว่า อะไรทำได้ ทำไม่ได้ อะไรควรเว้น โดยมีหลักการว่าต้องไม่ขัดต่อความเป็นอยู่ของพระเณร ไม่ขัดต่อศีลธรรมทางศาสนาด้วย หลวงพ่อก็ตั้งระเบียบง่ายๆ หนึ่ง คนที่เข้ามาประกอบการ จะเลี้ยงสัตว์ใหญ่ในวัดไม่ได้ จะปลูกสิ่งก่อสร้างเป็นบ้านพัก ที่ค้างแรมในวัดไม่ได้ สอง ทำแบบยึดเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีของในหลวงเป็นหลัก ประกอบกับอาจารย์โอ๋เรียนเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ ก็เน้นว่าเป็นแบบธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ไม่ใช้สารเคมี ผู้นำชุมชนก็ช่วยเยอะ ในลักษณะว่าต้องการให้สร้างอุปนิสัยของคนในชุมชนด้วย ให้มีความสามัคคี เสียสละ สร้างคุณธรรม ใส่เข้าไปด้วย มีการประชุมกันเดือนละครั้งสองครั้งตามวาระ อบรม จัดกิจกรรม ในกลุ่มเรียกว่าการ “เอามื้อ” (การเอามื้อสามัคคี เป็นการไปช่วยงานในแปลงของเพื่อนบ้านหรือเครือข่าย) ทำให้เกิดกำลัง ต่างจากตอนแรกที่หลวงพ่อมาใหม่ๆ โยมจะมาทำบุญเฉพาะวันพระบ้าง ตอนไปบิณฑบาตเช้าบ้าง พอทำโครงการนี้ขึ้นมา เห็นได้ชัด เวลามีงาน มีกิจกรรม สามารถเรียกชาวบ้านมาช่วยงานวัดได้เยอะเลย ขณะเดียวกัน ของที่เพาะปลูกต่างๆ ที่ให้ผล อย่างพืชผัก พริก มะเขือ กล้วย มัน อันดับแรก หลวงพ่อเน้นว่าให้ช่วยตัวเองก่อน ไม่จำเป็นว่าต้องเอาไปขาย ถ้าเหลือกินเราถึงขาย เพราะฉะนั้น จุดนี้ที่หลวงพ่อทำมาสองปีกว่า บางรายนอกเหนือจากกินแล้ว ยังเอาไปแจกจ่ายกัน เอาไปขายในตลาดนัด เป็นรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว ก็ตรงตามวัตถุประสงค์ แต่วัดต้องเสียสละเพื่อชุมชนก่อน ถึงจะได้กำลังส่วนนี้มา หมายความว่าค่าน้ำค่าไฟหลวงพ่อก็ต้องเสียเพิ่มขึ้น เราถือว่าลงทุนส่วนนี้ เราได้ศรัทธา ได้กำลังจากชาวบ้านมาช่วยงาน คนในชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผอ.โรงเรียนก็ร่วมมือดี น้ำไม่พอก็เจาะบาดาลเพิ่ม องค์กรภายนอกที่เขามาเห็น คนที่มีความพร้อมก็เข้ามาช่วยเหลือ พวกรีสอร์ต ร้านอาหาร เจ้าของกิจการโรงงาน ก็มาเจาะบาดาลให้ ขุดบ่อให้ เอาอุปกรณ์มาให้ แม้แต่หน่วยงานราชการอย่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ของบประมาณไป เขาก็ให้มาในเรื่องของโซลาร์เซลล์เพิ่มแสงสว่าง เครื่องปั๊มน้ำ
ทีนี้ก่อนมาเป็นรูปธรรม การดำเนินการสำคัญ การทำงานในรูปแบบคณะกรรมการช่วยได้เยอะ มีอะไร ช่วยกันคิด แก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ตกภาระอยู่แต่ของวัดหรือเจ้าอาวาสอย่างเดียว คือเป็นการกลั่นกรองคนด้วย คนที่เข้ามาแล้วอยู่ไม่ได้ออกไปก็มีคนใหม่เข้ามา ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง หนึ่ง เขาไม่มีเวลา สอง เขาไม่มีความพร้อม สาม ไม่มีความอดทนพอ คนที่ตั้งใจทำ คนที่มีความจริงจัง จริงใจ ก็อยู่กับเราได้เยอะอยู่ ตอนนี้จาก 40 กว่าราย มีอยู่ประมาณ 30 กว่าราย ไม่ได้เฉพาะคนยากจนนะที่เข้ามา คนมีฐานะ มีกิจการอยู่แล้ว เขามีเวลาว่าง เข้ามาทำก็มี คนที่เข้ามาก็เข้าใจในระเบียบเพราะเราชี้แจงให้ฟัง ชี้ทั้งโทษทั้งคุณ ปัญหาจะเกิดขึ้น ที่เราห้ามอย่างนี้ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ จะทำอันนี้เพื่อประโยชน์อันนี้ การจะเข้าจะออกต้องผ่านมติคณะกรรมการเท่านั้น แม้แต่เจ้าอาวาสเองก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าให้ใครอยู่ใครไป
ปัญหาหนักที่สุดในการทำโครงการโคกหนองนาที่ผ่านมาสองปีกว่า คือเรื่องน้ำไม่เพียงพอ ส่วนจตุปัจจัยเป็นเงินเป็นทองพอหาได้ ไม่ถึงกับมาก เงินของวัดก็ดี เงินบริจาคก็ดี ผ้าป่า กฐินเข้ามาแต่ละปี แต่อีกปัญหาคือ อุปนิสัยของคน ความอดทนน้อย หมายถึงว่าทำแล้วอยากเห็นผลทันทีทันใด อย่างเขาปลูกของบางอย่าง เดือนหนึ่งให้ผล เขาจะทำ 3 วัน 7 วันให้ได้ผล มันก็ไม่ได้ ต้องรู้จักการอดทน การรอ และความไม่เป็นระเบียบของคน คือการเห็นแก่ตัวมากเกินไป อย่างหลวงพ่อให้ใช้น้ำกี่ถังกี่ลิตรต่อวัน บางทีเปิดคนเดียวตลอด คนอื่นก็ไม่ได้ ก็เป็นการสร้างอุปนิสัยความเห็นอกเห็นใจกันไปในตัวด้วย แต่เราก็แก้ปัญหาโดยการประชุม ให้คำแนะนำ หลวงพ่อก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง บางทีพูดอย่างเดียวเขาก็ไม่เข้าใจ หลวงพ่อบอกเลย แปลงสาธิตของทางวัด เวลาออกผล ให้ถือว่าเป็นของส่วนรวม เอาไปแจกจ่ายกันได้เลย ในด้านหนึ่ง เราได้เรียนรู้คน ได้ฝึกคน ได้สร้างคน คือหมายความว่า เวลาตกก็ตกด้วยกัน มีดีก็มีดีด้วยกัน ลำบากก็ลำบากด้วยกัน เวลาเขามาทำงาน เขาต้องห่อข้าวมากินเองนะ ของใครของมันก็เอามาแบ่งกัน
การทำโครงการนี้ยั่งยืนต่อเนื่องไปได้อยู่ที่ว่า เราสามารถเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับชาวบ้านได้มากน้อยแค่ไหน โดยทางวัดไม่เดือดร้อน จตุปัจจัยที่เรามีอยู่ สิ่งแวดล้อมที่เราทำได้ หลวงพ่อคิดว่าจะอำนวยความสะดวกให้สังคมน่าอยู่ได้ สร้างความมั่นใจให้ชาวบ้านได้ว่า อย่างน้อยๆ วัดก็เป็นที่พึ่งได้ส่วนหนึ่ง ถ้าเรามีความพร้อม คือมีสถานที่ อุปกรณ์ คน กำลัง น่าจะทำกิจกรรมอย่างนี้ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นตัวอย่างมาตลอดชีวิต แต่บางที ไม่ว่าพระก็ดี ชาวบ้านก็ดี ยังตามไม่ทัน ยังไม่เข้าใจ คอยแต่จะแบมือขออย่างเดียว ทำให้คนขี้เกียจและมักง่าย แต่ถ้าคนลงมือทำงานเอง อย่างน้อยๆ ได้รู้ปัญหา รู้จักวิธีแก้ปัญหา วิธีช่วยตัวเอง ก็จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าคนอื่นทำมาให้กินก็หมดไป ไม่รู้จักคุณค่า การใช้จ่ายก็ไม่รู้จักประหยัด เพียงแค่เราทำให้เห็น สร้างความเชื่อมั่น สร้างศรัทธาให้เขาก่อน มันได้ใจคน พอได้ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมาหมด”
พระราชวชิราลังการ (คำปอน สุทฺธิญาโณ)
เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา (ธรรมยุต)
เจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณวราราม วรวิหาร
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…