การถอดวิชาล้านนาศึกษาหรือท้องถิ่นศึกษาออก ส่งผลกระทบให้การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ของเด็กค่อยๆ เลือนหายไป

“ผมเรียนมัธยมที่นี่ พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ด้วยความอยากเป็นครู ก็เลยกลับมาสมัครทำงานที่โรงเรียน จนทุกวันนี้เราเป็นครูสอนสังคมศึกษาโรงเรียนดาราวิทยาลัยมาได้ 10 ปีแล้ว

ตอนสอนใหม่ๆ หลักสูตรวิชาสังคมของโรงเรียนในเชียงใหม่ยังมีวิชาล้านนาศึกษา หรือท้องถิ่นศึกษาอยู่ จนราว 4-5 ปีที่แล้วที่รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายให้ถอดวิชานี้ออก และแทนที่ด้วยวิชาหน้าที่พลเมือง การเรียนการสอนให้เด็กๆ เข้าใจด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงค่อยๆ เลือนหายไป ผลลัพธ์เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีหลายครั้งที่ครูสั่งการบ้านเด็กๆ ให้กลับไปค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับของดีประจำชุมชนของนักเรียนมาส่ง ปรากฏว่าเด็กๆ พากันกลับไปเสิร์ชกูเกิ้ลชื่อคาเฟ่หรือร้านกาแฟแถวบ้านมาส่ง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าความเป็นท้องถิ่นมันไม่เชื่อมโยงกับเด็กๆ พวกเขาไม่ได้มองว่าประวัติศาสตร์หรือภูมิปัญญาที่อยู่ในวิถีชุมชนเป็นของที่มีคุณค่าสำหรับพวกเขาต่อไปอีกแล้ว

จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่อาจารย์แนน (อัมพิกา ชุมมัธยา) จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ช. ส่งจดหมายมาให้ครูคัดเลือกเด็กๆ ชั้นมัธยมต้นและปลาย ระดับละห้าคนมาร่วมกิจกรรมลงพื้นที่สำรวจชุมชนควรค่าม้า และชุมชนป่าห้า ครูก็ยินดีให้เด็กๆ เข้าร่วม เพราะแม้โรงเรียนเราจะมีทัศนศึกษานอกสถานที่อย่างไปวัดหรือพิพิธภัณฑ์สำคัญๆ ของเมือง แต่ด้วยข้อจำกัดหลายประการ จึงไม่เคยมีการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยการลงพื้นที่ชุมชนเลยสักครั้ง

การได้ลงชุมชนครั้งนั้นเปิดโลกกับเด็กๆ มาก เพราะถึงแม้หลายสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราคุ้นชินแล้ว เช่น ศาลผี ลำเหมือง หรือกระทั่งการใช้แผนที่กระดาษ แต่เด็กๆ กลับรู้สึกแปลกใจ และบางคนเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก อาจเพราะพวกเขาส่วนมากอยู่ในสังคมสมัยใหม่กันเกือบหมด จึงไม่รู้ว่าทำไมคนเฒ่าคนแก่ต้องตั้งศาลผี หรือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดูแผนที่กระดาษ ในเมื่อเรามี Google Map สิ่งนี้ทำให้ครูกลับมาย้อนคิดถึงทิศทางการสอนของตัวเองเหมือนกัน เพราะแม้จะเข้าใจว่ายุคสมัยเปลี่ยน และเด็กๆ หลายคนก็ไม่เห็นคุณค่าว่าทำไมพวกเขาต้องศึกษาเรื่องราวเก่าๆ ของชุมชนที่อาจไม่เกี่ยวอะไรกับความสนใจส่วนตัว หรือแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคตของพวกเขา แต่ขณะเดียวกัน ครูก็มองว่ามันน่าเสียดายมากที่เราไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าถึงหรือเข้าใจในคุณค่าของสิ่งเหล่านี้

ครูจึงคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ยังมีความพยายามในการเชื่อมร้อยองค์ความรู้เก่าๆ กับคนรุ่นใหม่โดยคนรุ่นกลางอย่างพวกเราอยู่ แต่ในฐานะคนทำงานในสถานศึกษาที่หลักสูตรไม่เอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งนี้ นี่จึงเป็นโจทย์อันท้าทายในการสอดแทรกประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาชุมชนเข้ากับบทเรียนในแต่ละวันของเด็กๆ เพราะแน่นอน การจะพานักเรียนที่ห้องเรียนหนึ่งมีประมาณ 40-50 คน หรือมีชั้นเรียนละประมาณ 500 คน ลงไปศึกษาจากพ่อครูภูมิปัญญาในหมู่บ้านก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก

ครูจึงคิดว่าน่าจะดี ถ้าต่อไป เราอาจเปลี่ยนมุมของกิจกรรมให้พ่อครูแม่ครูมาเป็นอาจารย์พิเศษ หรือแขกรับเชิญสอนเด็กๆ ในห้องเรียนบ้าง รวมถึงการออกแบบสื่อทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้เด็กๆ ได้เข้าถึงข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และพอจะเห็นวิธีในการประยุกต์ชุดความรู้เหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะอย่างน้อยที่สุด ทักษะที่จำเป็นอย่างการรู้จักสังเกต ตั้งคำถาม วิเคราะห์หลักฐาน ไปจนถึงการบอกเล่าเรื่องราวซึ่งได้มาจากการใส่ใจเรียนรู้เรื่องใกล้บ้านใกล้ตัว ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อการทำงาน ไม่ว่าโตขึ้นไปพวกเขาเหล่านั้นจะประกอบอาชีพอะไร”

///
ประดิษฐ์ ญานะ
ครูสอนสังคม โรงเรียนดาราวิทยาลัย

#WeCitizensTh#LearningCity#ChiangMai

กองบรรณาธิการ

Recent Posts

อ่านเสียงแก่งคอย เสียงของเมืองที่ก้าวข้ามบาดแผลประวัติศาสตร์มาสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

WeCitizens ชวนผู้อ่านเรียนรู้เมืองแก่งคอย เมืองประวัติศาสตร์ที่มีบาดแผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในวันนี้ แก่งคอยเปลี่ยนบาดแผลแห่งประวัติศาสตร์เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอ่านความคิด วิถีชีวิตผู้คนแก่งคอยได้ที่ WeCitizens : เสียงแก่งคอย, สระบุรี - WeCitizens Flip PDF…

1 year ago

ฟังเสียงนครสวรรค์ เมืองศูนย์กลางแห่งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน

WeCitizens ชวนผู้อ่านเดินทางไปจังหวัดนครสวรรค์ เมืองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง เมืองที่เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทางทางน้ำในอดีต นครสวรรค์จึงเป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งในฐานะของเมืองที่เป็นศูนย์กลาง (Hub) ทั้งด้านการค้า การคมนาคม และนำมาซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะชาวจีนโพ้นทะเล E-book ฉบับเสียงนครสวรรค์ฉบับนี้ จะพาผู้อ่านทุกคนไปเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนครสวรรค์ วัฒนธรรมชาวจีนและเทศกาลตรุษจีนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับประเทศและนานาชาติ และไปฟังเสียงผู้คนชาวนครสวรรค์ที่มองบ้านเมืองของตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน…

1 year ago

แก่งคอย…ย้อนรอยสงครามโลกเปลี่ยนบาดแผลประวัติศาสตร์สู่เมืองเรียนรู้ตลอดชีวิต

นอกจากจะถูกจดจำจากเพลงดังที่มีชื่อเดียวกับชื่ออำเภอของ ก้าน แก้วสุพรรณ และเพลงฮิตของคาราบาว ซึ่งสื่อถึงที่มาของชื่อ ‘แก่งคอย’ อย่าง ‘แร้งคอย’ หากไม่ใช่คนในพื้นที่ อาจนึกภาพไม่ออกว่าอำเภอของจังหวัดสระบุรีที่เป็นปากทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และประตูสู่ภาคอีสาน มีความสำคัญอย่างไร? ไม่เพียงเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งสินค้าผ่านแม่น้ำป่าสักและทางรถไฟ อำเภอแก่งคอย ยังเป็นจุดเริ่มต้น (ต่อจากอำเภอเมืองสระบุรี)…

1 year ago

ขอนแก่นโมเดล
The Legacy of City Development

เพราะเมือง คือ ผู้คน และผู้คน คือ ตัวแปรสำคัญที่สุดในการพัฒนาเมือง ความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมาตรฐานคุณภาพชีวิต จึงขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความสามารถ และความร่วมมือร่วมใจของคนในเมืองเป็นฐานสำคัญ กว่าทศวรรษที่ ‘ขอนแก่นโมเดล’ เป็นโมเดลการพัฒนาเมืองที่ได้รับการยอมรับ และพูดถึงในฐานะแนวคิดและปฏิบัติการการพัฒนาเมืองที่ก้าวหน้ามากที่สุด…

1 year ago

“ขอนแก่นเราไม่ใช่เป็นเมืองที่นั่งรอคนเข้ามาทำนู่นนี่ให้”

เมืองขอนแก่น ผู้คน กับการเรียนรู้เพื่อก้าวต่อไป           ไม่มีภูเขา ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่ อยู่ไกลโพ้นจากชายทะเล แหล่งท่องเที่ยวมีชื่อ หรือทรัพยากรธรรมชาติสำคัญก็น้อยนิด แต่มีคนที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาเมืองกลุ่มใหญ่ที่กล้าคิดกล้าฝัน พยายามทำทุกลู่ให้ความหวังเป็นจริงได้ นี่คือปัจจัยที่ทำให้ช่วงเวลาเพียงกึงศตวรรษนำพาเมืองขอนแก่น เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด  ‘ผู้คน และความร่วมมือ…

1 year ago

“สำนึกรักท้องถิ่น ถือเป็นหัวใจสำคัญของจิตสำนึกของคนขอนแก่น”

“เมื่อพูดถึงเรื่องเมืองแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning City ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบของเทศบาลนครขอนแก่น เราดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ที่ว่า ‘พัฒนาเมืองสู่สากล สร้างสังคมแห่งความสุข’ การที่เมืองจะพัฒนาได้และสร้างสังคมที่เป็นสุข ต้องเริ่มที่ ‘คน’ คนที่เป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันพัฒนาเมือง ยกตัวอย่างในกรณีที่เปรียบเทียบง่าย ๆ เช่น ถ้าเราจะพัฒนาขอนแก่นเป็นเมือง…

1 year ago