การท่องเที่ยวเชียงใหม่จะยั่งยืน ล้านนา (ต้อง) สร้างสรรค์

“สารตั้งต้นของโครงการ ‘เชียงใหม่เมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อพลวัตรที่ยั่งยืน’ มาจากเวทีเชียงใหม่ฮอม เวทีสาธารณะที่ชวนผู้คนในภาคส่วนต่างๆ มาแลกเปลี่ยนและนำเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว (พ.ศ. 2561) ในเวทีนั้นผู้คนส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าปัญหาที่เมืองเรากำลังเผชิญมีสองเรื่องใหญ่ คือเรื่องเศรษฐกิจอันเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 และปัญหาสิ่งแวดล้อม เราจึงเลยนำสองเรื่องนี้มาตั้งโจทย์ว่าถ้างั้นเราจะสนับสนุนให้คนเชียงใหม่เรียนรู้เรื่องใดบ้าง ที่จะนำมาสู่กระบวนการแก้ปัญหาดังกล่าว จึงมาคิดถึงการเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้สอดรับกับความเป็นเมืองท่องเที่ยว ส่วนประเด็นที่สองเรามองเรื่องการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมเพื่อเป็นโมเดลในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในเมือง

แม้จะแบ่งเป็น 2 โครงการย่อยที่แตกต่างอย่างชัดเจน แต่เราก็พยายามทำกิจกรรมที่ทำให้สองโครงการสอดรับกัน โดยงานหลักของสองโครงการอย่างแรกคือการทำปูมเมืองเชียงใหม่ (local study) ศึกษาแบบย้อนอดีตไปว่าตั้งแต่มันมีการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาเมือง เศรษฐกิจสร้างสรรค์เดินทางมายังไง สิ่งแวดล้อมเมืองเดินทางมายังไง เพื่อที่เราจะได้และหาช่องว่างและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษานี้ ขั้นตอนที่สองคือการสร้างกลไกความร่วมมือให้เกิดขึ้นทั้งสองประเด็น โดยใช้ learning city เป็นเครื่องมือ และขั้นตอนที่สาม สร้างพื้นที่และกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

เริ่มจากโครงการแรก ‘เมืองแห่งการเรียนรู้และพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ เนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตโควิด-19 เราก็มาคุยกันว่าในเมื่อมันจะยังเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วเราจะทำอย่างไร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และภาครัฐที่นำโดยเทศบาลนครเชียงใหม่ มองตรงกันว่าบ้านเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะประเพณีที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติอยู่แล้ว แล้วต้นทุนนี้ทำให้เกิดธุรกิจอีเวนท์

แต่ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนที่เอาจริงๆ ชาวชุมชนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมกลับแทบไม่ได้มีส่วนในการกำหนดทิศทางงานเลย ก็เลยคิดว่าถ้าอยากกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอก เราก็น่าจะสนับสนุนให้ชาวเชียงใหม่มาเรียนรู้เพื่อหันมาเป็นฝ่ายจัดเทศกาลของเมืองเสียเอง เพราะชาวบ้านมีต้นทุนเป็นองค์ความรู้ และทักษะด้านหัตถกรรมเพื่อทำของตบแต่งอยู่แล้ว และถ้าเราขับเคลื่อนเทศกาลจากชุมชนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยงบประมาณมากมายอะไร

เราวางคีย์เวิร์ดไว้ว่า ‘เชียงใหม่เมืองเทศกาลที่ทุกคนมีส่วนร่วม’ โดยนำร่องที่ 2 เทศกาลสำคัญของเมือง คือยี่เป็งและประเพณีปีใหม่เมือง โดยช่วงก่อนที่เราจะเริ่มโครงการมันเป็นก่อนงานยี่เป็งพอดี ตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ในเชียงใหม่ก็มองว่าเราน่าจะทำอะไรที่เป็นสัญลักษณ์เมือง เพื่อสื่อสารภาพจำของประเพณียี่เป็งที่ขับเคลื่อนโดยชาวบ้านได้บ้าง และเห็นถึงประเพณีการทำ ‘ดอกไม้พันดวง’ ถวายพระมาฟื้นฟู ให้กลายเป็นของประดับตบแต่งเมือง ของชำร่วย เป็นของตบแต่งในสื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐและเอกชน รวมถึงเป็นงานหัตถกรรมที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ผ่านการจัดเวิร์คช็อปต่างๆ

ส่วนโครงการย่อยที่สอง ‘เมืองแห่งการเรียนรู้และพัฒนาสิ่งแวดล้อมเมือง’ เราถอดบทเรียนจาก local study และพบว่าเชียงใหม่เราเผชิญปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 4 ประการใหญ่ๆ คือ การขาดพื้นที่สีเขียว เกาะความร้อนของเมืองที่สูงขึ้น มลภาวะทางอากาศ PM 2.5 และความมั่นคงทางอาหาร และพบโจทย์ร่วมเดียวกันคือเรื่องพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นแกนหลักของทุกปัญหา คือถ้าสมมุติว่าเราเติมพื้นที่สีเขียวได้ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ของเมืองก็จะลดลง

พอดีกับที่ทราบว่าเทศบาลนครเชียงใหม่มีแผนจะปรับปรุง ‘สวนน้ำปิง’ ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อปุงเถ่ากงตรงกาดต้นลำไยให้เป็นสวนสาธารณะใหม่อีกครั้ง และเรามีโอกาสได้คุยกับทางเทศบาล พบว่าเขายังไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนในการกำหนดรูปแบบของสวนแห่งใหม่นี้ เลยมองว่าถ้างั้นเราควรนำกระบวนการ learning city ไปหนุนเสริมโครงการนี้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับคนในพื้นที่ก่อนทำการออกแบบ

ทีมงานเราก็ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลจากชุมชน ไปถามเขาว่าอยากได้สวนสาธารณะใหม่เป็นแบบไหน หรืออยากมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือกิจกรรมใดบ้าง จากนั้นก็ร่วมกับเทศบาลจัดตั้งคณะกรรมการสวนน้ำปิงที่มาจากตัวแทนทุกภาคส่วน และร่วมทำกิจกรรมการเรียนรู้ด้านนิเวศสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ทั้งการล่องเรือสำรวจแม่น้ำและการชวนผู้เชี่ยวชาญมาร่วมเวิร์คช็อปกับคนในย่าน เพื่อให้ทุกคนสกัดสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปเป็นแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้และบริบทด้านสิ่งแวดล้อม ส่งต่อให้นักออกแบบซึ่งประกอบด้วยทีมจากใจบ้านสตูดิโอ และ A49 ที่มาช่วยออกแบบสวนแห่งนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

เรามองว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนคือการที่ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง ไม่ใช่การเกี่ยงหน้าที่กัน เช่นบอกว่ารัฐก็ทำไปสิ แต่เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองเราได้จริงๆ ส่วนตัว learning city เป็นแค่เครื่องมือเชื่อมเชื่อมรอยเชื่อมประสานให้เกิดการทำงานระหว่าง หรือการร่วมมือระหว่างรัฐ เเล้วก็ภาคประชาสังคมเท่านั้น

ที่ผ่านมาเมืองเราต้องเผชิญกับปัญหาเรื้อรังเพราะต่างฝ่ายต่างไม่คุยกัน หรือเพิกเฉยในปัญหาเพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา คือถ้าคุณหันหน้าเข้าหากันหรือมีความใส่ใจร่วมกันสักนิด มันก็อาจพบแนวทางแก้ปัญหาได้แล้ว และอีกข้อที่สำคัญคือกระบวนการ learning city ยังมีส่วนกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจประเด็นต่างๆ ของเมือง ความสนใจตรงนี้แหละจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของพลเมืองสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ช่าง ถ้าพลเมืองทุกคนเป็นพลเมืองที่พร้อมที่จะหนุนเสริมให้เมือง เป็นหูเป็นตา และตระหนักดีถึงความเป็นเจ้าของอย่างเท่าเทียม เมืองมันก็จะมีพัฒนาการที่ดี เป็นเมืองที่อยู่ดี กินดี อิ่มท้อง อิ่มสมอง อิ่มใจ ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับผู้คนในเมืองทั้งนั้น”

///

ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์

หัวหน้าโครงการ การพัฒนาเมืองเชียงใหม่นครแห่งการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาเมืองพลวัตที่ยั่งยืน และนักวิจัยโครงการจัดตั้งศูนย์ล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

#WeCitizensTh #LearningCity #ChiangMai

กองบรรณาธิการ

Recent Posts

[THE RESEARCHER]<br />ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์<br />หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด เทศบาลเมืองลำพูน<br />นักวิจัยจากสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…

3 days ago

[THE CITIZENS]<br />ปริยาพร วีระศิริ<br />เจ้าของแบรนด์ผ้าไหม “อภิรมย์ลำพูน”

“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ   และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม   ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ไชยยง รัตนอังกูร<br />ผู้ก่อตั้ง ลำพูน ซิตี้ แลป

“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ธีรธรรม เตชฤทธ์<br />ประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน

“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ชนัญชิดา บุณฑริกบุตร<br />ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน

“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม)  จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />นงเยาว์ ชัยพรหม<br />คนทำโคมจากชุมชนชัยมงคล

“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว  สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…

2 weeks ago