“ตระกูลของผมเริ่มต้นมาจากรุ่นอากงท่านมาจากเมืองจีน ลงหลักปักฐานที่ขอนแก่นกับกิจการร้านโชห่วย แล้วคุณพ่อก็สืบทอดธุรกิจต่อมาอีกที ผมเป็นรุ่นที่ 3 แล้วครับ ขายของทั้งปลีกและส่งใน จ.ขอนแก่น ครอบครัวเรามีร้านและบ้านในย่านศรีจันทร์ แม้ตอนนี้ร้านใหญ่จะย้ายมาอยู่นอกเมือง แต่ทุกวันนี้เราก็ยังมีสาขาที่ศรีจันทร์ ที่ขยายมาข้างนอกเพราะต้องทำคลังสินค้า ที่ในไม่พอก็เลยต้องย้ายทั้งออฟฟิศทั้งคลังออกมาอยู่ข้างนอก แต่ทุกวันนี้เราก็ยังอาศัยนอนกันอยู่ที่ศรีจันทร์ทุกวันครับ
ส่วนตัวผมจบด้านการเงิน แต่จริง ๆ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมชอบค้าขายกับเรื่องการตลาดมากกว่า เพียงแต่ว่าตอนเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้น มข. ยังไม่มีการตลาดให้เรียน มีให้เลือกแค่การเงิน การโรงแรม แล้วก็เศรษฐศาสตร์ ผมเริ่มเปิดร้านเล็กๆ ของตนเองตั้งแต่ปี 3 เป็นมินิมาร์ทอยู่ในมอ จะเรียกว่าโตมา และได้เรียนกับร้านโชห่วยจริง ๆ ก็คงไม่ผิด พี่ชายกับน้องชายผมเขาไม่ชอบทางนี้ ส่วนผมชอบอยู่แล้วเป็นทุน ก็เลยรับงานต่อจากทางบ้าน ทำแล้วชอบ และสบายใจก็เลยทำมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
สำหรับร้านที่ศรีจันทร์ ผมเกิดไม่ทันยุครุ่งเรือง จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ เขาเล่าว่าที่ศรีจันทร์เมื่อก่อนบูมมากยุคนั้นน่าจะราว ๆ ปี 2510 คนยุคนั้นเขาจะมองว่าใครมีบ้านอยู่ศรีจันทร์นี่คือน่าอิจฉา เพราะว่าทุกอย่างมันอยู่ที่นั้นหมด เป็นย่านที่เป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าของเมืองขอนแก่น เพราะไม่ว่าคุณจะซื้อหนังสือ เทปเพลง เครื่องดนตรี หรือมาตัดผม หาของกิน ทุกคนต้องมาที่ถนนศรีจันทร์ แล้วก็มีสถานบันเทิงอยู่เยอะ โรงหนังก็หลายโรง เท่าที่จำได้มีไล่ตั้งแต่หน้าบ้านผมไปนะ จะมีโรงหนังเพชรสยาม โรงหนังราม่า ราชา แก่นคำ แล้วก็เจ้าพระยา
ความซบเซาของศรีจันทร์ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน แต่จะค่อย ๆ เงียบลง จนคนในอย่างผมก็ไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำไป มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เริ่มมีการย้ายออก แล้วไม่มีใครมาอยู่แทน ซึ่งเมื่อก่อนไม่เป็นแบบนั้น กลายเป็นว่าพอร้านปิดตัว ก็จะปิดแล้วปิดเลย ธุรกิจเดิมที่ไปได้ดี ก็ต่างเติบโตขยับขยายออกไปด้านนอก กระจายกันไปตามเส้นถนนรอบเมือง เรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดและยังพูดกันมาถึงปัจจุบัน คือการไม่มีที่จอดรถ ผมจำปีแม่น ๆ ไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ จากที่สองฝากถนนย่านศรีจันทร์จะจอดรถยนต์ได้ กลับมีการกำหนดเส้นขาว-เหลือง กับขาว-แดง ห้ามจอดกันเกือบทั้งหมดย่าน คนศรีจันทร์เขาก็บ่นกันให้แซด แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรเปลี่ยนแปลง ย่านก็ยิ่งซบเซาลงไปอีก เวลาจะชวนใครมาย่าน เขาจะถามเลยว่าให้ไปจอดรถที่ไหน
ในช่วง 4-5 ปีมานี้ กระแสการฟื้นฟูย่านศรีจันทร์เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น และมีการทำโครงการนู้นนี่นั้นอยู่เยอะ ตอนแรกผมก็งง ๆ จะมาทำอะไรกัน มีโทรศัพท์จากเทศบาลแจ้งมาว่าจะมีโครงการฟื้นฟูย่านเข้ามา เราฟังแล้วก็รู้สึกว่าดีจัง เขาจะมาทำเพื่อย่านของเรา จำได้ว่าเป็นการประชุม Co-create มี Workshop ด้วย ซึ่งเป็นงานที่คนในย่านเข้าร่วมกันน้อยมาก แล้วก็เหมือนมีแค่ผมที่ไปแทบทุกครั้ง คนอื่นไปหนึ่งครั้งแล้วก็ไม่ไปแล้ว ส่วนหนึ่งผมมองว่าอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ยังค่อนข้างใหม่สำหรับคนทั่วไป และหลายคนก็ไม่ได้อินจนต้องมา Fight หรือร่วมเปลี่ยนวิถีการค้าการขาย อย่าง CEA ที่มาจัดงานไปแล้ว 2 ครั้ง ก็น่าเสียดายเพราะช่วงจัดงานดันเป็นช่วงโควิด บวกกับจังหวัดไม่เคยจัดงานอะไรแบบนี้ คนศรีจันทร์ คนขอนแก่นหลายคนนึกไม่ออกว่างานนี่งานอะไร ทำอะไรกัน มีแค่ไฟแวบวับ ๆ บางจุดรึเปล่า กับอีกอย่างคือเรื่องของการสื่อสารกับประชาสัมพันธ์ คนยังไม่ค่อยเข้าใจ feedback ที่ผมได้ยินมา คือ ประมาณว่าการสื่อสารมันดูเป็นงานวิชาการไปหน่อยเข้าถึงยาก คนไม่เก็ท
สำหรับในย่านพอมีการพูดถึงการฟื้นฟูย่านบ่อย ๆ ก็มีการก่อตั้งศรีจันทร์คลับ ทำหน้าที่เป็นกลุ่มที่เป็นตัวแทนของคนในย่าน ผมก็พลอยกลายเป็นตัวแทนโดยปริยาย เพราะเข้าร่วมประชุมบ่อยครั้ง จนเขามอบหมายให้เป็นประธานคลับ ทำหน้าที่เหมือนตัวเชื่อม ประสานงาน และส่งข่าวสร้างความเข้าใจกับคนในย่าน เพราะการตอบรับของคนในย่านมีไม่ค่อยมาก และไม่มีใคร respond แต่ก็ไม่ against ผมจึงรับหน้าที่สื่อสารมาบอกเล่าต่อ
เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความเป็นผู้นำที่จะคิดริเริ่มโครงการอะไรขนาดนั้น และส่วนตัวก็ไม่ได้มีเวลามากเพราะต้องดูแลธุรกิจซึ่งอยู่ในช่วงหัวเรี่ยวหัวต่อ นี่เราก็เพิ่งสร้าโกดังหลังใหม่ แต่ก็พยายามไปร่วมทุกครั้ง ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนเลยก็ คือ บรรยากาศการลงทุนของย่านเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีร้านกาแฟ แจ๊สบาร์ สถานบันเทิง คาเฟ่สอนวาดรูปขายงาน Gift น่ารัก ๆ เป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แรกๆ ผมก็คิดว่ามันจะอยู่รอดได้อย่างไรกัน แต่พอผ่านมา 3 ปี อะไรๆ มันดูลงตัว บรรยากาศก็เอื้อให้พวกเขาได้ริเริ่มสร้างสรรค์ ย่านก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นไม่ใช่เพียงกับคนขอนแก่น แต่คนที่มาเที่ยวขอนแก่น จากทุกสารทิศก็ต้องแวะมาศรีจันทร์”
กมลรัตน์ อภิชนตระกูล
ประธานกลุ่มศรีจันทร์คลับ
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…