“หนังสือ “สาส์นสมเด็จ ลายพระหัตถ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ” บันทึกไว้ว่าพื้นที่บริเวณนี้มีชาวจีนมาอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง ก่อนการขุดคลองลัดบางกอก ทีนี้พอคนจีนมาอยู่ ก็มีศาสนสถาน มีภิกษุจีนมาพำนักอยู่ในกุฎีหรือกุฏิ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็บอกนี่แหละ ที่เรียกว่ากุฎีจีน ก็เป็นที่มาของคำว่า กุฎีจีน คือเป็นกุฎีที่มีภิกษุจีนพำนักอยู่
ชาวจีนที่เข้ามาตอนนั้นผสมกัน ไม่ได้แยกว่าเป็นจีนใด แต่พอสมัยอยุธยาตอนปลาย สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้พระยาวิไชเยนทร์สร้างป้อมวิไชยเยนทร์ เรือที่จะขึ้นไปค้าขายยังกรุงศรีอยุธยาก็ผ่านป้อมวิไชยเยนทร์เพื่อให้มีการตรวจตรา ว่ามีสิ่งผิดกฎหมายอะไรมั้ย มีอาวุธที่จะขึ้นไปให้เราเสียเอกราชหรือเปล่า ทำให้มีคนหลายชาติ หลายภาษา รวมทั้งชาวจีนมาอยู่ตรงนี้เพิ่มมากขึ้น ต่อมาสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากโปรดให้ชาวจีนที่ช่วยกอบกู้เอกราชมาอยู่ตรงนี้ ชาวโปรตุเกสก็อยู่ตรงวัดซางตาครู้ส ทีนี้ชาวจีนที่มาอยู่ในช่วงนั้นเห็นตัวศาสนสถานชำรุดไปตั้งแต่อยุธยา มีบันทึกจากคุณหมอชาวเยอรมันและเป็นนักพฤกษศาสตร์ด้วย ว่ามีอาคารศาลเจ้าสองหลัง มีทางเดินอยู่ตรงกลาง พอสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมืองหลวงย้ายไปอยู่ฝั่งพระนคร ชาวจีนที่อยู่ตรงนี้ก็ติดตามไปอยู่สำเพ็ง เยาวราช ตลาดน้อย ศาลเจ้าตรงนี้ก็ชำรุดทรุดโทรม ทีนี้บรรพบุรุษผมทำมาค้าขาย มีตัวเรือนแพอยู่ข้างหน้าศาลเจ้าตรงนี้ กราบไหว้ทำนุบำรุงศาลเจ้ามาแต่เดิมอยู่แล้วล่ะ แต่เห็นชำรุดมาก ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยานฤบดินทร์สร้างวัดกัลยาณมิตร ทางนี้ก็เลยไปรวบรวมเงินญาติพี่น้องที่อยู่ที่เจียงจิว โชจิว มณฑลฮกเกี้ยน มารื้อศาลแล้วสร้างใหม่เป็นอาคารที่เห็นอยู่นี้ แต่กว่าจะเสร็จก็กินเวลานาน เพราะไม่ได้เป็นเงินมาทั้งก้อนทีเดียว บรรพบุรุษชาวฮกเกี้ยนเรารวบรวมเงินกันมา จากนั้นอัญเชิญองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือคนจีนเรียก พระโพธิสัตว์กวนอิม ชาวบ้านทั่วไปเรียก เจ้าแม่กวนอิม องค์ท่านเป็นไม้ แกะจากไม้หอม อยู่ในชุดพระจีน ปิดทองทั้งองค์ ในรูปลักษณ์ที่มีความสวยงาม เป็นองค์ดั้งเดิมเลย
ตัวงานแกะสลักที่โถงด้านหน้า และภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นฝีมือช่างจากประเทศจีน ซึ่งได้รับการยืนยันจากหลายอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของจีน รวมทั้งกรมศิลปากรเองที่บอกว่าไม่ใช่ช่างจีนในประเทศไทย ภาพจิตรกรรมวาดเป็นเรื่องสามก๊ก ตอนแรกคือคำสาบานในสวนท้อ แล้วก็ไล่ไปเป็นตอนๆ ในภาพก็จะบอกชื่อตอน ชื่อจิตรกรที่วาด ช่องไหนมีผู้ถวายทำบุญก็จะระบุชื่อไว้ด้วย แล้วจิตรกรรมนี้เป็นเอกลักษณ์ เพราะในกรุงเทพฯ มีที่เดียวที่วาดเป็นสีเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แบบนี้ ส่วนงานไม้แกะบนโถงเพดานด้านบนตรงกลาง เป็นเรื่องสามก๊ก ตอนขงเบ้งนั่งตีขิมอยู่บนกำแพงเมืองที่เหล่าทัพสุมาอี้ ในส่วนบานประตู ทวารบาล ก็ได้รับการยืนยันจากอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ อาจารย์น. ณ ปากน้ำ ว่าเป็นศิลปินเอกวาดประชันกัน ไม่ใช่คนเดียววาดสองบาน แต่ที่นี่ประตูศาลเจ้าจะสูงใหญ่ ถ้าไปที่อื่น ประตูจะเตี้ยเล็กกว่า ฉะนั้นตรงนี้ทวารบาลค่อนข้างน่าเกรงขาม ทางเราเน้นการอนุรักษ์ ยังเป็นสีธรรมชาติ โบราณ ไม่เติมสีวิทยาศาสตร์ มันก็จะอยู่ลักษณะนี้ และศาลเจ้าได้รับพระราชทานรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2551 ของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทางกรมศิลปากรก็เห็นความสำคัญว่ามีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ มีงานที่ควรอนุรักษ์ จึงขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ทำให้ทุกคนได้เข้ามาดู กราบไหว้ ศึกษา มาเห็นความงดงาม เราไม่ได้หวังจะเก็บไว้ของเราคนเดียว ถ้าคนชอบแบบโบราณก็โอเค บางคนก็บอก ลื้อไม่ทำอะไรเลยเหรอ บางคนปรารถนาดี ร้านขายสีจะเอาสีมาทาใหม่ให้สีแดงๆ ซึ่งมันไม่ใช่ ถ้าทำมันจะเสียไป หรือดูว่าตรงไหนที่มันจะทองกว่านี้ เราก็อย่าดีกว่า ไม่อยากให้เป็นแบบโบสถ์ทองทั้งหลังแล้วกรมศิลป์ฯ ต้องไปนั่งลอกออก อีกอย่างคือเราไม่ได้เน้นพาณิชย์ ใครจะไหว้ยังไงก็ได้ ไหว้มือเปล่าก็ไหว้ แล้วแต่เลย ไม่ได้จะมาขายเวียนธูป ชุดใหญ่ชุดเล็กอะไร ที่นี่ก็มีแค่ธูป อะไรนิดหน่อย ศาลเจ้าก็จะเงียบๆ ประมาณนี้
คนในตระกูลดูแลศาลเจ้าสืบทอดกันมา เวลาคนมาเราก็เป็นคนบรรยาย เราตั้งใจ เรายินดี เพราะเป็นคนดูแล เห็นมาตั้งแต่แรก มีทายาทที่จะดูแลต่อ ถ้าหมดจากสายสิมะเสถียร ก็มีสายอื่นสืบทอด ถ้าไม่มีความผูกพัน บางครั้งการดูแลรักษาก็อาจจะด้อยกว่าการมีความผูกพันความรู้สึก และอาจจะโชคดีด้วยว่าการคมนาคมไม่สะดวก ทำให้ไม่มีใครอยากมาแย่งชิงมาก ถ้าถามในฐานะที่เราเกิดที่นี่และอยู่มาตั้งแต่แรก ในปัจจุบัน คนโบราณที่อยู่ต่อกันมาในชุมชนวัดกัลยาณ์มีน้อย ไม่เหมือนชุมชนกุฎีจีนที่ส่วนมากเป็นญาติอยู่กันมาแล้วสามรุ่นห้ารุ่น แต่ตรงนี้มาแล้วการเข้าออกไม่สะดวก เขาก็อาจจะไปอยู่ที่อื่น เอาบ้านให้คนเช่าหรือขายไป คนที่มาอยู่ใหม่ๆ อาจจะไม่ได้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ เพราะก็ไม่เคยเห็นว่าเดิมที่อยู่ๆ กันมาเป็นยังไง ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขามาเขาจะเข้าใจความเป็นอยู่ตั้งแต่อดีตมาหรือเปล่า บางทีคนในชุมชนเองยังไม่รู้เลยว่ามีศาลเจ้าตรงนี้
โครงการและกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูในพื้นที่ย่านกะดีจีน-คลองสานและต่อยอดโครงการขับเคลื่อนย่านกะดีจีน-คลองสาน สู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ทำให้คนภายนอกเข้ามา ย่านคึกคัก คนในชุมชนเองก็ได้รู้ว่ามีอะไร เช่นมีกิจกรรมในย่านที่โครงการฯ จัด ทางกุฎีจีนส่งระบำโปรตุเกสมาแสดง ทางจีนก็เล่นเครื่องดนตรีกู่เจิ้ง อย่างที่บอก คริสต์อาจจะไม่เคยมา คนแถวนี้อาจจะไม่กล้า บางคนกลัว ไม่มีโอกาส อยู่ดีๆ จะเดินมาก็เขิน ก็ได้งานแสดงนั้น หรือบางคนเขาเกิดมาเห็นแต่หลังคาศาลเจ้าข้างนอก ไม่ได้เคยเข้ามา วันหนึ่งโผล่มาหน้าประตู เพราะเห็นจากรายการโทรทัศน์ ช่องยูทูบ ก็เข้ามาดู เราเองก็เคยคิดว่าสมมติทำเป็นวิดีโอเล่าประวัติศาลเจ้า เป็นพื้นที่เรียนรู้ที่ใครมาสามารถเปิดดูหรือเปิดอยู่ตลอด หรืออาจจะต้องมีคิวอาร์โคดให้สแกนแต่การทำโคดก็มีระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำและการดูแลเหมือนกัน”
บุณยนิธย์ สิมะเสถียร
ผู้ดูแลศาลเจ้าเกียนอันเกง
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…