“เตี่ยพี่แกเคยอยู่ซัวเถา มีวันหนึ่งก็มีเพื่อนบ้านมาบอกว่าจีนกำลังจะมีการปฏิวัติ ถ้าเป็นได้ ให้เดินทางไปเมืองไทยดีกว่า เดี๋ยวจะหนีออกมาไม่ได้ เตี่ยก็เลยนั่งเรือหนีออกมา แกเล่าให้พี่ฟังว่าระหว่างนั่งเรืออยู่ ดันไปเจอพวกทหารญี่ปุ่นบุกยึดเรือ และเอาพวกเตี่ยไปทิ้งที่เกาะไหหลำ เตี่ยกับเพื่อนก็ต้องเดินเท้าจากไหหลำกลับมาตั้งหลักที่ซัวเถา แล้วค่อยวางแผนเดินทางใหม่
จนอายุ 12 แกถึงอพยพมาอยู่เมืองไทยได้ แกเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างแถวบ้านหม้อที่กรุงเทพฯ ทำได้สักพัก ช่วงนั้นมีสงครามมหาเอเชียบูรพา ก็มีข่าวว่าที่กรุงเทพฯ จะมีระเบิดอีก ก็เลยหนีมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แก่งคอย โดยมาเริ่มต้นขายน้ำแข็งไสในตลาด แต่ก็ไม่วายมีระเบิดตามมาลงที่แก่งคอยอีก แต่เตี่ยก็รอดชีวิตมาได้ ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจากอากงของอาหม่อง (นพดล ธรรมวิวัฒน์) ให้เอาของมาขาย จนเปิดร้านขายของชำสำเร็จ
ร้านชำของเตี่ยชื่อเบ๊ย่งเส็ง ตั้งอยู่ถนนหน้าสถานีรถไฟ เยื้องกับตลาดเทศบาล ตอนพี่เกิดนี่มีร้านนี้แล้ว และเตี่ยก็ตั้งตัวได้แล้ว ชีวิตพี่กับพี่ๆ น้องๆ เลยไม่ค่อยลำบากเท่าไหร่ เตี่ยก็ส่งลูกทุกคนเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่เรียนด้านคณิตศาสตร์ และจบออกมาเป็นอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ที่พระจอมเกล้าบางมด (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ทำมาเกือบทั้งชีวิต จนเตี่ยกับแม่อายุมาก พี่ก็เลยเออร์ลี่รีไทร์ออกมาดูแลแกที่แก่งคอย
ช่วงที่พี่กลับมาดูแลเตี่ยก่อนแกจะเสียชีวิตนี่แหละ ที่เตี่ยเล่าเรื่องเก่าๆ ในอดีตให้ฟังเยอะมาก หลายเรื่องพี่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกเคยลำบากขนาดไหน พี่ฟังแล้วคิดว่าดีจังน่าจะให้พี่ๆ น้องๆ คนอื่นได้รู้ด้วย ไม่อยากให้ถูกหลงลืม ก็เลยจดบันทึกไว้ และเรียบเรียงออกมาเป็นบันทึกความทรงจำเตี่ย คิดว่าความทรงจำตรงนี้เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่เตี่ยให้เรา เราเลยอยากเก็บไว้ ไม่ให้ถูกลืม
พี่ก็เก็บเรื่องราวของเตี่ยมาเรื่อยๆ จนพี่สาวพี่ได้อ่าน เขาก็ชอบ ยุให้พี่รวบรวมเพื่อพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเพื่อให้คนอื่นอ่านด้วย และก็น่าจะเขียนถึงคนเฒ่าคนแก่อื่นๆ ในแก่งคอย เป็นเหมือนบันทึกความทรงจำแก่งคอย เขาเสนอจะออกทุนค่าพิมพ์ให้ หนังสือขายได้เท่าไหร่ก็เอาไปบริจาคให้โรงพยาบาล
พี่ก็เห็นดีด้วย เราเกษียณแล้ว ก็เลยนัดหมายเพื่อนบ้านมานั่งสัมภาษณ์กัน ตอนนี้เขียนได้ 40 กว่าคนแล้ว พี่มีเพื่อนทำงานศึกษาธิการ ก็ส่งต้นฉบับให้เขาช่วยตรวจทานว่าสำนวนพี่พอได้ไหม เพราะจริงๆ เราก็เรียนทางวิทยาศาสตร์ ไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน แต่เพื่อนบอกว่าโอเคเลย พิมพ์ได้ พี่ก็มีกำลังใจ
จนอาหม่อง (นพดล ธรรมวิวัฒน์) เขาทำบริษัท สระบุรีพัฒนาเมือง จำกัด และทำโครงการแก่งคอยเมืองแห่งการเรียนรู้ เมื่อปีที่แล้วนี่แหละ เขามาเห็นว่าพี่กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคนแก่งคอย ที่รู้เพราะหนึ่งในนั้นพี่เขียนถึงครอบครัวเขาด้วย เนื่องจากอากงเขาเป็นเพื่อนกับเตี่ยพี่ เขาก็เลยเสนอว่าจะให้ทางโครงการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ให้ เพื่อเป็นหลักฐานทางเอกสารที่บ่งบอกถึงที่มาที่ไปของผู้คนในแก่งคอย พี่ตั้งชื่อหนังสือไว้ว่า ‘คนเก่าเล่าอดีต’ โดยในเล่มยังมีเนื้อหาที่รวบรวมภาพถ่ายไว้ ก็ตั้งชื่อส่วนนั้นว่า ‘ภาพเก่าเล่าอดีต’ ตอนนี้น่าอยู่ในกระบวนการปรับปรุงเนื้อหา เพื่อพิมพ์เป็นเล่มออกมา
พอได้คุยกับคนแก่งคอยมากๆ เลยรู้ว่าชีวิตกว่าจะมาถึงทุกวันนี้มันไม่ง่ายเลยนะ คนที่นี่ส่วนมากเป็นลูกหลานชาวจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินเกิด บางคนแอบมากับท้องเรือข้ามทะเลมาเป็นเดือนๆ หลานของแม่พี่กว่าเดินทางออกจากเมืองจีนได้ ตอนเด็กๆ เขาต้องถูกยกให้พ่อแม่บุญธรรม เพราะพ่อแม่จริงๆ ไม่มีปัญญาเลี้ยง จนพวกเขาตั้งตัวได้ ก็ตามหากันจนเจอเมื่อเด็กโตแล้ว
บางครอบครัวก็ได้เห็นมุมมองแปลกใหม่ อย่างเขาไม่อยากให้ลูกหลานลืมรากเหง้าหรือลืมภาษาจีน เขาก็สอนให้ลูกเรียนภาษาจีนผ่านการอ่านวรรณกรรมสามก๊ก เป็นต้น
อย่างชีวิตเตี่ยพี่ดีหน่อย เคยลำบากตอนแรก แต่มาอยู่เมืองไทยก็ได้กัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือตลอด ทั้งที่บ้านหม้อและที่แก่งคอย และเพราะเหตุนั้น อาจทำให้เตี่ยพี่เป็นคนชอบช่วยเหลือคนและชอบทำบุญทำทานเป็นนิสัย
ทุกวันนี้ร้านเบ๊ย่งเส็งของเตี่ยไม่เหลือแล้ว ปี 2560 จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ร้านเรารวมถึงตึกแถวหน้าสถานีรถไฟ ตอนไฟไหม้ พวกเรานอนกันอยู่อีกบ้านที่เยื้องกับสำนักงานอำเภอ ตื่นเช้ามาจะเปิดร้าน ก็มาเห็นว่าตึกแถวตรงนั้นเหลือแต่ซาก นี่เราก็เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ โดยพี่ก็ให้ช่างเขายึดรูปแบบใกล้เคียงกับแบบเดิมให้มากที่สุด โดยยังใช้ประตูไม้บานเฟี้ยมแบบเดิมไว้ เพราะมันเป็นประตูที่ผูกพันกับพวกเรามาตั้งแต่เด็ก”
สุนีย์ สุวรรณตระกูล
อาจารย์เกษียณและผู้เขียนหนังสือ ‘คนเก่าเล่าอดีตเมืองแก่งคอย’
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…