Categories: City View

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ช่วงหลังมานี่ ได้ยินคนถามกันบ่อยว่าทั้งที่กระทรวงศึกษาฯ ได้รับงบสูงสุดมากกว่ากระทรวงอื่นใดมากี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว ทำไมผลการศึกษาเราจึงตกต่ำจนเป็นที่โหล่หรือเกือบจะเป็นที่โหล่ของอาเซียนไปเสียทุกวิชา  นอกจากนั้นผลการสอบโอเน็ตทั่วประเทศของเรายังบอกเราว่าโดยเฉลี่ยแล้ว นักเรียนในบ้านเราสอบตกทุกวิชาหลัก (ไทย อังกฤษ สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์) แถมยิ่งช่วงชั้นสูงขึ้นไป คะแนนเฉลี่ยของโอเน็ตก็ยิ่งตกต่ำมากขึ้นจนมีคนพูดกันเล่นๆ ว่ายิ่งเรียนก็คงยิ่งโง่มั้ง

ฉันไม่ได้แปลกใจเรื่องผลการเรียนตกต่ำเพราะเท่าที่รับรู้มาเรื่องการศึกษา มันก็น่าจะตกต่ำจนน่าใจหายอยู่หรอก สิ่งที่ฉันแปลกใจคือดูเหมือนทุกคนจะเป็นห่วงแต่เรื่องผลการศึกษาในขณะที่ สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจมากกว่าคือในทุกวิชา คะแนนสูงสุดคือเต็มร้อย ส่วนคะแนนต่ำสุดคือศูนย์ เราพูดกันเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมบ่อยมากจนเกือบจะกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว แต่ทำไมจึงแทบไม่ได้ยินใครพูดถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษากันอย่างจริงจังบ้างเลย แถมนโยบายที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ฉันกังวลเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก

เมื่อสองสามวันมานี้ มีนักการศึกษาออกมาพูดว่าจะเสนอนโยบายเรื่องการเปิดโอกาสให้นักเรียนมีเวลาค้นคว้าด้วยตัวเองมากขึ้น แทนที่จะเรียนรู้แต่ในห้องเรียน ฟังแล้วดูดีนะคะ เป็นปรัชญาการศึกษาที่ดี แต่การจะทำอย่างนี้ได้ มันต้องเพิ่มช่องทางในการค้นคว้าให้กับทุกคนด้วย ไม่ใช่เพิ่มเวลาเพียงอย่างเดียว (ซึ่งน่าจะแปลว่าลดจำนวนชั่วโมงเรียนให้น้อยลง) ไม่เช่นนั้นมันก็จะเหมือนนโยบาย child-oriented ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ในทางปฏิบัติคือครูเตรียมการสอนน้อยลงให้นักเรียนไปหาความรู้เองมากขึ้นจนเคยมีนักเรียนออกมาบอกว่ามันเป็น “ควาย-oriented” เสียมากกว่า ส่วนเพื่อนๆ ฉันที่มีลูกเรียกนโยบายนี้ว่า mother-oriented เพราะพวกแม่ๆ ต้องลงมาทำการบ้านให้ลูกเนื่องจากการบ้านหลายชิ้นมันยากเกินความรู้เด็กประถมหรือมัธยมจะทำได้

เพื่อนฉันคนหนึ่งเคยถามลูกว่าถ้าแม่ไม่มีเวลาหรือมีความรู้พอจะช่วยลูกเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร ลูกเธอตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาว่า “ก็ตก” ทำให้อดเกรงไม่ได้ว่านโยบายใหม่ที่ฟังดูดีนี้จะส่งผลให้มีเด็กตกเพิ่มขึ้นไปอีกหรือเปล่าโดยเฉพาะเด็กที่อยู่ตามโรงเรียนวัดและโรงเรียนที่ “ด้อยโอกาสทางการศึกษา” ทั้งหลายมีความเหลื่อมล้ำของ (ผล) การศึกษาที่เห็นได้ชัดระหว่างเด็กที่เรียนหนังสือในเมืองกับเด็กที่เรียนตามโรงเรียนในหมู่บ้าน (ฉันไม่ใช้คำว่าเด็กต่างจังหวัดเพราะความแตกต่างน่าจะอยู่ที่การเป็นโรงเรียนในเมืองหรือในหมู่บ้านมากกว่า ไม่ว่าจะสังกัดจังหวัดไหน รวมถึงโรงเรียนในสังกัด กทม. ด้วย แม้แต่ที่ที่ฉันอยู่ เด็กในหมู่บ้านที่เข้าไปเรียนหนังสือในตัวเมืองก็ดูมีพื้นฐานความรู้ที่ดีกว่าเด็กที่เรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้าน) ความเหลื่อมล้ำนี้เกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าสาเหตุอื่นคือเด็กๆ ในหมู่บ้านมักไม่มีหนังสืออ่านนอกเหนือไปจากหนังสือเรียน หนังสือเด็กดีๆ นั้นแพงจนฉันเองยังซื้อแทบไม่ลง ดังนั้น เรื่องที่จะให้พ่อแม่ที่ยากจนซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนั้นเลิกคิดไปได้

ห้องสมุดโรงเรียนควรจะเป็นคำตอบ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นคำตอบที่ใช้แทบไม่ได้ คุณครูที่มาช่วยดูแลห้องสมุดมีงานยุ่งเกินกว่าจะใส่ใจ งบที่โรงเรียนจะเจียดมาซื้อหนังสือก็สำคัญสู้กิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นหน้าเป็นตามากกว่าไม่ได้ ผลก็คือห้องสมุดโรงเรียนส่วนใหญ่มีสภาพเป็นสุสานหนังสือเก่าที่มีผู้บริจาคให้โรงเรียนเสียมากกว่า

เคยคุยกับคนที่ไปประเมินห้องสมุดที่ผ่านการคัดเลือกส่งเข้าประกวดเป็นห้องสมุดโรงเรียนดีเด่นประจำภาคอีสาน (ซึ่งน่าจะแปลว่าเป็นห้องสมุดที่ดีกว่าห้องสมุดของโรงเรียนโดยทั่วไปแล้ว) เขาบอกว่าใจเขาไม่อยากให้ผ่านแม้แต่เกณฑ์พื้นฐานของการเป็นห้องสมุดที่ดีเลยสักแห่ง ฉันจึงคิดว่าเราคงหวังพึ่งห้องสมุดโรงเรียนไม่ได้ในการเป็นช่องทางให้เด็กมีหนังสือดีๆ อ่าน

จากประสบการณ์การทำห้องสมุดเด็กให้ อบต.ตาก้องมา 5 ปี ฉันคิดว่าห้องสมุด อบต. น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเพิ่มช่องทางในการค้นคว้าด้วยตนเองของนักเรียนนอกเขตเมืองได้ แทนที่เราจะทำที่อ่านหนังสือพิมพ์หมู่บ้านไปทั่วๆ ให้เป็นเบี้ยหัวแตก งบเหล่านี้น่าจะเอามารวมกันทำห้องสมุดเพียงแห่งเดียวในแต่ละตำบลให้เป็นที่ที่มีหนังสือดีๆ มีคุณภาพสำหรับชาวบ้านทุกคนได้อ่านกัน

ในระยะแรก ฉันเสนอว่าควรเน้นที่ห้องสมุดเด็ก ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่นั้นยุ่งกับการเลี้ยงชีวิตมากกว่าจะมีเวลาว่างมานั่งอ่านหนังสือ ขนาดศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรในหมู่บ้านฉันตั้งมากว่า 2 ปีแล้วยังแทบไม่เคยเห็นผู้ใหญ่มาใช้คอมพิวเตอร์ค้นคว้าหรือทำอะไรเลย เห็นแต่เด็กเล็กๆ มานั่งเล่นเกมกันทั้งวัน ดังนั้นงบซื้อหนังสือจึงน่าจะทุ่มไปที่การซื้อหนังสือเด็กดีๆ มาไว้ให้เด็กอ่านมากกว่าจะกระจายไปซื้อหนังสือเผื่อสำหรับผู้ใหญ่ที่คงไม่ค่อยได้มาใช้สักเท่าไร ทั้งนี้เพื่อให้ห้องสมุดเป็นช่องทางที่เด็กสามารถมาใช้ค้นคว้าเสริมความรู้นอกห้องเรียนได้อย่างมีคุณภาพและมีหนังสือที่หลากหลายไว้สนองความต้องการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ของเด็กได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ห้องสมุดเด็กที่ อบต. สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างจริงจัง

ก็จะต้องกำหนดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการอ่านตลอดเวลาเพื่อส่งเสริม (กึ่งบังคับ) ให้เด็กมาอ่านหนังสือกันจริงๆ ไม่ใช่ใช้ห้องสมุดเป็นที่เก็บหนังสือเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงควรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถติดตามพัฒนาการการอ่านของเด็กได้ ไม่ใช่หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่แล้วแต่ใครจะว่างเมื่อไร

ปัจจุบันเท่าที่ทราบมา กรอบอัตราของ อบต. ทั่วไปไม่สามารถใช้บรรจุเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุดได้ มีแต่ อบต. (เทศบาล) ใหญ่ๆ เท่านั้นที่จะสามารถมีอัตราสำหรับเจ้าหน้าที่ห้องสมุด ดังนั้นถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากห้องสมุดอย่างจริงจัง เราก็ควรจะต้องเพิ่มอัตราประจำสำหรับเจ้าหน้าที่ห้องสมุดในทุก อบต. เพื่อให้สามารถหาคนมาทำงานได้อย่างต่อเนื่องจริงๆ

จากประสบการณ์ ฉันเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นจะต้องจบบรรณารักษ์ งานจัดหมวดหมู่หนังสือไม่ใช่งานหลัก

กิจกรรมที่จะทำกับเด็กเพื่อให้เกิดความรักการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ามาก อัตรานี้จึงควรเปิดกว้างให้ใครก็ได้มาสมัคร ถ้าถามใจฉัน ฉันคิดว่าคุณสมบัติที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ตำแหน่งนี้อันดับแรกคือรักและมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านหนังสือ ส่วนที่รองลงมาคือมีความรู้ภาษาไทยดีพอที่จะไม่สอนเด็กให้อ่านผิดๆ ดังนั้น ฉันจึงคิดว่าถ้าหากจบปริญญาตรีได้ก็ดี (เผื่อการใช้ภาษาจะดีขึ้นหน่อย)

แต่ก็ไม่ถึงกับจำเป็น

จึงอยากใคร่ขอเสนอให้ใครก็ตามที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ส่งเสริมให้ทุก อบต. เปิดห้องสมุดและมีอัตรากำลังที่จะทำงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ฉันขอยืนยันว่าการมีห้องสมุดเด็กประจำทุกตำบลและมีกิจกรรมที่ส่งเสริมการ

อ่านของเด็กๆ อย่างจริงจังเป็นทางออกที่เป็นไปได้ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างที่เป็นอยู่ ที่สำคัญมันเป็นเรื่องที่ทำได้ทันทีโดยใช้งบไม่มากเท่าไรนักด้วย

เรามาให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษากันบ้างเถอะนะคะ อย่ามัวแต่สนใจเรื่องเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนเพียงอย่างเดียวเลย

อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย

Recent Posts

[THE RESEARCHER]<br />ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์<br />หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด เทศบาลเมืองลำพูน<br />นักวิจัยจากสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…

3 days ago

[THE CITIZENS]<br />ปริยาพร วีระศิริ<br />เจ้าของแบรนด์ผ้าไหม “อภิรมย์ลำพูน”

“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ   และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม   ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ไชยยง รัตนอังกูร<br />ผู้ก่อตั้ง ลำพูน ซิตี้ แลป

“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ธีรธรรม เตชฤทธ์<br />ประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน

“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ชนัญชิดา บุณฑริกบุตร<br />ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน

“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม)  จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />นงเยาว์ ชัยพรหม<br />คนทำโคมจากชุมชนชัยมงคล

“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว  สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…

2 weeks ago