“ราว 30 ปีที่แล้ว ป้าตามลุงโช (โชฎึก คงสมของ) ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ลุงโชไปทำงานที่การบินไทย ส่วนป้าขายส้มตำและไก่ย่างด้วยรถเข็นคันเล็กๆ โดยเริ่มจากขายจากหน้าหมู่บ้าน อาศัยป้ายโฆษณาหมู่บ้านอันใหญ่เป็นที่วางรถเข็นและหลบแดด ช่วงแรกขายไม่ดี ท้อใจมาก ร้อนก็ร้อน ก็คิดจะเลิกขายแล้ว แต่พอผ่านไป 6 เดือน ลูกค้าบอกปากต่อปาก ทีนี้เลยมีคนมารุมซื้อเยอะมาก ก็เลยมีกำลังใจทำต่อ
ป้าขายบนรถเข็นจนเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง และก็ไปกู้ธนาคารเพื่อจะซื้อตึกเปิดร้านเป็นหลักแหล่ง พอธนาคารอนุมัติก็ได้เปิดร้าน ป้าตั้งชื่อร้านว่า ‘เฮือนกาฬสินธุ์’ เพราะเราเป็นคนกาฬสินธุ์ เลยใช้ชื่อนั้น ตำรับอาหารก็มาจากบ้านเรา รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม นอกจากส้มตำ ลาบเป็น และไก่ย่าง ก็มีแกงหวาย ลาบปลาตะเพียน ไส้กรอกอีสานและปลาร้าก็ทำกันเอง ไม่ใช่สารเจือปน ผลตอบรับดีมาก จนสามารถขยายสาขาได้ ก็ขายมา 20 ปี
จนวันหนึ่งเราสองคนเริ่มมีอายุ ลุงโชก็บอกกับป้าว่าถ้าแกจะตาย แกอยากไปตายที่กาฬสินธุ์บ้านเกิดดีกว่า ป้าก็เลยยกกิจการให้ญาติดูแล และย้ายกลับบ้าน
ที่ดินตรงนี้เราซื้อไว้ระหว่างที่ทำงานที่กรุงเทพฯ น่าจะ 18 ปีแล้ว ตอนนั้นราคาไม่แพง เป็นที่นาโนน แห้งแล้งและปลูกข้าวไม่ขึ้น ลุงโชก็กลับมาขุดบ่อ ขุดสระเอง ปลูกกล้วย ปลูกผัก ก็ค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ โดยยังไม่มีแผนอะไร จนตัดสินใจกลับบ้านนี่แหละ ลุงโชก็ขึ้นอาคารเป็นเรือนอีสานแบบดั้งเดิม ทำเป็นร้านอาหารเฮือนกาฬสินธุ์อีกแห่ง แล้วก็ทำที่พักให้นักท่องเที่ยวมาเช่า รวมถึงพื้นที่จัดกิจกรรม เช่นจัดเลี้ยง งานสัมมนา ไปจนถึงจัดพิธีแต่งงานแบบประเพณีอีสาน
ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาจากมหาสารคาม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และรอบๆ ในกาฬสินธุ์ก็มีบ้าง ส่วนใหญ่จะพาแขกมากินข้าว หรือมาจัดงาน ก่อนโควิด-19 นี่ดีมากค่ะ จองล่วงหน้าหลายเดือน มีหน่วยงานราชการต่างๆ มาใช้พื้นที่เราจัดกิจกรรม มีกลุ่มเขยฝรั่งในอีสานมาใช้เราเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานหลายครั้งด้วย จนโควิดนี่หนัก ลูกค้าโรงแรมและจัดเลี้ยงไม่มีเลย พออยู่ได้จากร้านอาหาร จนมาช่วงนี้ก็ฟื้นขึ้นมาดีหน่อย สัมมนาเริ่มกลับมา ชมรมผู้สูงอายุในกาฬสินธุ์ก็ใช้สถานที่เราจัดกิจกรรม
จะบอกว่าเป็นบ้านผู้สูงอายุก็ได้ (หัวเราะ) เราสองคนอายุมากกันแล้ว มีคนวัยเดียวกันมาพูดคุยหรือทำกิจกรรมที่นี่ก็เพลินดี ลุงกับป้าไม่มีลูก แต่ก็ดีที่มีหลานมาช่วย เราคิดกันว่าที่นี่คือบ้านหลังสุดท้ายของเราแล้ว ก็อยากแบ่งปันให้คนอื่นๆ มาพักผ่อน หรือให้คนรุ่นใหม่มาใช้ประโยชน์กับพื้นที่ ได้ความรู้และความสุขกลับไป แต่ถึงจะบอกว่าเป็นบ้านหลังสุดท้าย แต่ทุกวันนี้ลุงโชแกก็ยังมีไอเดียจะพัฒนาพื้นที่ตรงนี้อีกเยอะเลยนะ ความที่แกทำและคุมก่อสร้างของแกคนเดียว ท่าจะเหนื่อยน่าดู แต่นั่นล่ะ เห็นแกมีความสุข ป้าก็ดีใจ”
สมพร คงสมของ
เจ้าของร้านเฮือนกาฬสินธุ์ สวนดอนธรรม จังหวัดกาฬสินธุ์
https://www.facebook.com/cowboylao/?locale=th_TH
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…