“บ้านผมอยู่แถวตลาดเหนือ ซึ่งอยู่บริเวณวัดใหญ่ (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร) สมัยเด็กๆ ยังทันเห็นตลาดในสภาพดั้งเดิม ที่พ่อค้าแม่ค้าจับปลาในแม่น้ำน่านขึ้นมาขาย มีผู้คนจากทั่วสารทิศนำของป่าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมาแบกะดินขาย เห็นวิถีชีวิตกึ่งชนบทกึ่งเมืองหมุนเวียนในตลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ตลาดแห่งนี้ก็เปลี่ยนตาม ทุกวันนี้ตลาดเหนือก็เป็นตลาดในแบบที่เราเห็นได้ทั่วไปจากที่อื่นๆ
ทั้งนี้ การได้มาเดินตลาดใต้ตอนเช้า จึงเป็นเหมือนได้เห็นตลาดใกล้บ้านที่ผมคุ้นเคยในอดีต เพราะตลาดแห่งนี้ยังคงรักษาความดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม และในฐานะที่ผมทำงานสำนักงานการท่องเที่ยวเทศบาลนครพิษณุโลก ซึ่งตลาดใต้ก็อยู่ในพื้นที่ดูแลของเราด้วย ผมจึงพร้อมประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการอนุรักษ์ไปพร้อมกับฟื้นฟูตลาดใต้ เมืองพิษณุโลก ให้ยั่งยืนไปกับยุคสมัย
เพนพอยท์ (pain point) ที่สำคัญของตลาดใต้ คือมันมีบทบาทแค่เป็นตลาดเช้า นั่นทำให้พอตลาดวายตอนสายเรื่อยมาจนถึงตอนกลางคืน ตลาดแห่งนี้จึงเงียบเหงา จนดูเหมือนย่านเก่าที่ไร้ชีวิต ทางเทศบาลจึงสนับสนุนคณะนักวิจัยจากโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ขับเคลื่อนโครงการย่านเก่าเล่าเรื่อง ใช้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความทรงจำของผู้คนในย่านมาเป็นจุดขาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางวัฒนธรรมของพื้นที่
พร้อมกันนั้น ทางสำนักงานการท่องเที่ยวของเราก็จัดกิจกรรมสร้างสีสันให้ย่าน เช่นโครงการประกวดภาพถ่ายมนต์รักตลาดใต้ ที่ชักชวนให้คนพิษณุโลกถ่ายรูปมุมต่างๆ ของตลาดใต้ส่งมาประกวด และจัดแสดงร่วมกันที่หอสมุดเทศบาลฯ ก่อนจะย้ายมาจัดแสดงให้คนตลาดใต้ได้เห็นบริเวณโรงงิ้ว ชุดภาพถ่ายเหล่านี้บอกเล่าแง่มุมอันมีชีวิตชีวาของตลาดใต้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งอาคารเก่าๆ วิถีของอากงอาม่าผู้ประกอบการในย่าน แผงขายอาหารที่หากินจากที่ไหนไม่ได้แล้ว ไปจนถึงสุนัขที่เป็นที่คุ้นเคยกับผู้คนในตลาด
และเมื่อโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวรสิ้นสุดลง ทางเทศบาลก็ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากรภายใต้งบประมาณของ บพท. เช่นกัน จัดทำตลาดวัฒนธรรม ในรูปแบบถนนคนเดินภายในย่านทุกเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งไม่ใช่เพียงการออกร้านขายสินค้า แต่ยังรวมถึงเวทีจัดแสดงทางศิลปวัฒนธรรมของคนในย่านและคนพิษณุโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ เราพยายามประสานกับบริษัทท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างแดนให้มาเยือนตลาดใต้ เพราะเราเชื่อว่าตลาดแห่งนี้ไม่เพียงมีรูปแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว แต่ยังสะท้อนวิถีชีวิตแบบคนพิษณุโลกดั้งเดิมให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ซึ่งนั่นล่ะ ถ้าคุณไปเที่ยวเมืองไหน การมาเดินตลาดเช้าที่มีความดั้งเดิมของเมืองนั้น ก็จะทำให้คุณรู้จักเมืองนั้นได้ลึกซึ้งที่สุด
โดยล่าสุดก็ได้มีการจัดทัวร์รถสามล้อถีบยามเช้า รับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมท็อปแลนด์มาเยือนตลาดใต้แห่งนี้แล้วในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ โดยเราได้เสียงตอบรับจากนักท่องเที่ยวว่าชื่นชอบความเป็น authentic ของตลาดแห่งนี้มาก
ในภาพรวมด้านการท่องเที่ยวของเมือง ภายหลังโควิด-19 พิษณุโลกเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามามากขึ้น โดยรูปแบบส่วนใหญ่คือพวกเขาจะแวะมาพักที่พิษณุโลกหนึ่งคืนเพื่อเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองพิษณุโลก ก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือไปยังเชียงใหม่หรือเชียงราย อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อท้าทายที่เรากำลังพบคือ เมืองของเรายังขาดบุคลากรภาคบริการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอยู่พอสมควร พนักงานโรงแรมหลายราย รวมถึงคนขับรถตุ๊กตุ๊กและสามล้อยังไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เท่าที่ควร โดยทางสำนักงานของเราก็พยายามจัดการฝึกอบรมด้านภาษาและการบริการเพื่อยกระดับบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวอยู่
ซึ่งควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะทางด้านภาษา ผมจึงเห็นว่าการขับเคลื่อนกลไกเมืองแห่งการเรียนรู้ ด้วยการสร้างเครื่องมือที่ทำให้คนในเมืองเข้าถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับเมืองของตัวเอง ทำให้ทุกๆ คนสามารถบอกเล่าเรื่องราวหรือของดีของเมืองของได้ สิ่งนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการด้านการท่องเที่ยวของเมือง และทำให้พิษณุโลกกลายมาเป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพต่อไปในอนาคต”
กฤษฎา มีพยุง
เจ้าหน้าที่สำนักงานการท่องเที่ยวเทศบาลนครพิษณุโลก
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…