“หม่องโง่ยซิ่นคือชื่อทวดของผม ท่านเป็นลูกของหม่องส่วยอัตถ์ ชาวมะละแหม่งที่เข้ามาดูแลกิจการไม้ให้บริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าในลำปางเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ทวดของผมสร้างอาคารหลังนี้เมื่อปี พ.ศ. 2451 ใช้เป็นสำนักงานและที่รับรองให้นักธุรกิจที่เข้ามาทำสัมปทานค้าไม้ รวมถึงยังเคยรับรองเจ้าผู้ครองนครลำปางด้วย และเช่นเดียวกับอาคารทรงโคโลเนียลหลังอื่นๆ ในกาดกองต้า สถาปัตยกรรมเหล่านี้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมค้าไม้ในอดีต ซึ่งต่อมากลายมาเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองลำปาง
ผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรับช่วงดูแลอาคารหลังนี้ต่อมาจากคุณพ่อ ซึ่งตอนแรกก็ใช้อาคารนี้จัดเก็บวัสดุก่อสร้าง จนภายหลังที่น้ำท่วมหนักในปี 2548 และผู้คนในย่านร่วมกันจัดตั้งถนนคนเดิน ปลุกกระแสการฟื้นฟูอาคารเก่าในพื้นที่ จุดประกายให้ผมกลับมาฟื้นฟูอาคารหลังนี้ ซึ่งก็ใช้เวลาค่อนข้างนานในการเก็บรายละเอียดให้เหมือนเดิมมากที่สุด และกว่าจะเปิดเป็นคาเฟ่กึ่งร้านอาหารก็ปี 2553 โดยผมยังอุทิศส่วนหนึ่งของอาคารให้เป็นมุมนิทรรศการ นำเสนอกระบวนการบูรณะบ้าน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบ้านเก่าหลังอื่นๆ ในพื้นที่ เพื่อหวังให้คนที่มาเยือนเข้าใจถึงคุณค่าของสถาปัตยกรรมในย่าน รวมถึงเป็นการส่งไม้ต่อเพื่อหวังให้มีการฟื้นฟูและเปิดบ้านเก่าโบราณเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
และก็เนื่องจากบ้านเก่าที่สร้างขึ้นร่วมยุคเดียวกับหม่องโง่ยซิ่นเหล่านี้เอง ที่ทำให้กาดกองต้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนคนเดินกาดกองต้าที่จัดทุกเย็นวันเสาร์และอาทิตย์มีลักษณะเฉพาะตัว เพราะไม่ใช่แค่คุณมาซื้อของราคาประหยัด แต่คุณยังเดินเข้าไปดูบ้านเก่าที่อยู่คู่ย่านได้ด้วย คือได้ดูอาคารโคโลเนียลสวยๆ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจากตลาดที่เริ่มต้นจากการซื้อ-ขายกันเองในจังหวัด กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ซึ่งดึงดูดคนต่างประเทศเข้ามาด้วย
จริงอยู่ที่โควิด ทำให้ตลาดเงียบไปนานเลย แต่คืนก่อนที่คุณจะมาสัมภาษณ์ (สัมภาษณ์เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2565 – ผู้เรียบเรียง) เราก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเริ่มมีฝรั่งและคนอินเดียมาเดินบ้าง ส่วนคนต่างจังหวัดก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นสัญญาณว่าจะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
แต่นั่นล่ะ คิดว่าคงมีคนที่มองเหมือนกันกับผม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังมองลำปางเป็นแค่เมืองผ่าน บางคนมาเที่ยววันเดย์ทริป ตกเย็นเดินกาดกองต้า แล้วก็ขับรถต่อไปนอนที่เชียงใหม่ น่าเสียดายนะ เพราะจริงๆ เมืองเรามีอะไรให้เที่ยวหรือทำมากกว่าแค่ไปเช้าเย็นกลับ โจทย์ที่สำคัญหลังจากนี้คือจะทำยังไงให้นักท่องเที่ยวมาอยู่กับเราอย่างน้อยสักหนึ่งคืน ทำอย่างไรให้น่าเที่ยว เราเป็นเมืองรอง แต่เราเป็นเมืองรองที่มีของ ไม่ใช่รองแบบไม่มีอะไร เพราะถ้าตีโจทย์ข้อนี้ได้ มันก็จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจบ้านเราได้เยอะ
อย่างรถม้าเนี่ยใครมาลำปางก็อยากนั่งใช่ไหม แต่ในทางกลับกันคุณมานั่งรถม้าตอนกลางวันแดดเปรี้ยงก็ไม่สนุกแล้ว แต่ถ้าคุณออกแบบกิจกรรมอาจจะนั่งตอนเช้าไปบ้านท่ามะโอ จังหวัดเรามีช้างด้วย ลองมาไว้ที่บ้านหลุยส์สักเชือกสองเชือก ดึงดูดให้เด็กๆ นั่งรถม้าไปให้อาหารช้าง หรืออาจจะทำเส้นทางนั่งตอนกลางคืน ก็โรแมนติกดี
กาดกองต้าก็ด้วย ปัญหาที่ผมเห็นได้ชัดคืออาคารริมถนนเราสวยนะ เจ้าของบ้านเก่าในย่านทุกคนก็มีวิสัยทัศน์ที่ดี ฟื้นฟูบ้านตัวเองให้สวยงามเหมือนๆ กัน แต่ตกเย็นคุณเปิดไฟนีออนสีขาวสว่างจ้า ทัศนียภาพโดยรวมดูแข็งไปหมด ทำไมไม่ลองใช้ไฟ warm white ให้ย่านมันดูนวล ใช้อารยสถาปัตยกรรมเข้าไปเสริม คุณนั่งรถม้าผ่านเห็นไฟสีส้มอุ่นๆ ดูตึกเก่าสวยๆ มันยกระดับย่านได้เยอะ
รถไฟอีก เรามีสถานีรถไฟที่เป็นอาคารอนุรักษ์ซึ่งมาพร้อมกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ แต่ที่ผ่านมาคุณก็จัดงานรถไฟแบบเดิมๆ ดึงพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงขายของ ของก็แบบเดียวกับกาดกองต้า คนมาเที่ยวครั้งเดียวเขาก็ไม่อยากกลับมาแล้ว ผมมองว่าลำปางเรามีศักยภาพมาก อย่าลืมว่าเรามีทรัพยากรหลักคือไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า เราใช้แสงไฟเปลี่ยนบรรยากาศให้เมืองได้ หรือเล่นใหญ่ทำโชว์แสงสีเสียง เอารถไฟเป็นพระเอกบอกเล่าประวัติศาสตร์เมือง เอาหัวรถจักรโบราณมาวิ่ง ทำโบกี้สวยๆ จัดกาล่าดินเนอร์บนรถไฟ วิ่งเส้นทางระยะสั้นแบบญี่ปุ่น ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ทั้งหมดทั้งมวลมันคือเนื้อหาเดิมเลย แต่คุณเอาสุนทรียศาสตร์มาเพิ่มมูลค่ามันได้ คือถ้าของมันสวย ใครจะไม่อยากมากัน ผมเลยอยากฝากไว้เป็นข้อเสนอไปให้นักวิชาการและที่สำคัญคือภาครัฐ คือถ้าวางแผนกันดีๆ เอกชนอย่างพวกเราก็พร้อมจะร่วมมืออยู่แล้ว”
นพรัตน์ สุวรรณอัตถ์
ทายาทรุ่นที่ 4 ของอาคารหม่องโง่ยซิ่น และเจ้าของร้านหม่องโง่ยซิ่น
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…