“ผมเกิดที่ขอนแก่น มีโอกาสไปเรียนที่กรุงเทพ และเคยเข้าไปช่วยงาน ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยนายกฯ ชวน ตอนนั้นเมืองไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบ Fixed พอโดนโจมตีก็กลายเป็นแบบลอยตัว ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นเรื่องที่ผมสนใจอยากช่วยแก้ไข เลยไปต่อเรียนต่อที่อเมริกาด้าน Risk Management Financial Engineering ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะไปทำงานที่แบงค์ชาติ แต่คุณพ่อชวนให้กลับมาช่วยทำ dealer Toyota ขอนแก่น ซึ่งริเริ่มไว้ตั้งแต่สมัยอากง ถือว่าเป็น dealer ของ Toyota แห่งแรกของประเทศไทย
ทำงานได้ระยะหนึ่งคุณป้าอยู่ที่หอการค้าก็ชวนผมเข้ามาทำงานให้หอการค้า ตอนแรกเป็น YEC และค่อยเติบโตจนเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ได้เป็นประธานหอการค้าที่จังหวัดขอนแก่น ในระหว่างนั้นพอเรา setup ธุรกิจที่บ้านได้แล้ว พี่ ๆ ในจังหวัดก็คุยกันเรื่องปัญหาในจังหวัด ปัญหาการพัฒนาเมือง การเดินทางการขนส่ง เริ่มต้นจากสภากาแฟที่เราพบปะกัน เอาปัญหามาคุย พอคุยแล้วได้ข้อสรุปตรงกันว่าโมเดลพัฒนาเมืองแบบเดิมๆ พาเมืองขอนแก่นไปได้ไม่เต็มที่ ต้องประชุมมากมาย และให้ผู้ว่าส่งฯเรื่องไปส่วนกลาง หรือต้องรอนายกฯ ลงพื้นที่มาเยี่ยมขอนแก่น เราก็จะได้เงินมาบ้าง คือแทบทุกอย่างมัน centralized อยู่กรุงเทพหมด
พอคิดจะทำแบบ PPP หรือ Public Private Partnership เงื่อนไขมันก็เยอะทำให้เสียเวลากันทุกฝ่าย งานพัฒนาหลายอย่างพอมีงบ ก็ศึกษาใหม่วนไปวนมาอยู่แบบนี้ เราก็บอกว่าไม่เอาแล้วเลยรวมตัวกับพี่ ๆ เป็นขอนแก่นพัฒนาเมืองและได้ทำงานกับทางมข. หาวิธีการทำงานและระดมทุนในรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะผ่านตลาดทุนในประเทศ หรือต่างประเทศ เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเยอะและเราพยายามเลือกที่จะนำมาใช้เป็นโมเดลในการพัฒนาเมือง และโปรเจ็คอย่างการพัฒนาเมือง เราคิดว่าเมืองเราถ้าสามารถสร้างรูปแบบการทำงานที่มีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาร่วม มีภาคเอกชน ประชาชนช่วยกันแสวงหาทุนในรูปแบบต่างๆ ลดการพึงพางบจากส่วนกลางลงบ้าง จะช่วยให้ขอนแก่นสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเราเองโดยที่ท้องถิ่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนเรามาพูดคุยกัน ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานเลยคือต้องอาศัยการรับฟัง เข้าอกเข้าใจกันและกันพอสมควร การที่เราใช้เครื่องมือ Learning City ในปีที่ผ่านมา ก็เพื่อมาเติมตรงจุดนี้
เราคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดต้องทำให้คนของเมืองทุกภาคส่วนไม่ใช่แค่คนทำงาน ไม่ใช่แค่ภาคเอกชน หอการค้า หรือสภาอุตสาหกรรม ต้องเป็นคนทั้งจังหวัด 1.8 ล้านคนของขอนแก่นเข้าใจว่าสิ่งที่เราจะพัฒนาเมือง เราทำเพื่ออะไรและให้ทุกคนเห็นจุดเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการสานเสวนาหรือ dialogue หรือภาษาอีสานเรียกว่า ‘โสเหล่’ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญและผมเชื่อว่าถ้าเราเปิดรับความเห็นจากทุก ๆ ภาคส่วนจะช่วยในเรื่องนี้ได้ การพูดคุยกันมีทั้งแบบ Formal และ Informal เช่นการคุยกับหน่วยงานองค์กรเศรษฐกิจเรียกว่า 8 องค์กรเศรษฐกิจอย่าง หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ชมรมธนาคาร ATSME ชมรมร้านอาหาร และแบงค์ชาติของภาคอีสาน กลุ่มวิชาการอย่างคณะเศรษฐศาสตร์ คณะบริหารและการบัญชีของ มข. และกระจายไปในทุกอำเภอของจังหวัด
สิ่งที่เราคุยกัน มีทั้งการหารือและถอดบทเรียนระหว่างกลุ่มและเจเนอเรชั่น เอาสิ่งที่แต่ละรุ่นตกผลึกมาแลกเปลี่ยนกัน อะไรที่รุ่นผมทำไม่เสร็จ ต้องมีการส่งต่อให้รุ่นต่อไป พอมีเครื่องมืออย่างงานวิจัยเข้ามาจึงเป็นที่มาว่าของหลักสูตรแนวคิดพัฒนาเมืองขอนแก่น ซึ่งก็ได้ลอง test ไปแล้วบ้างผ่านการ Workshop กับคนขอนแก่น และการแลกเปลี่ยนกับเมืองอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาเมืองแบบที่เราพยายามทำ
หลายคนอาจจะมองเข้ามาว่า สิ่งที่ขอนแก่นพยายามทำมันใช้เวลา และถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่จริงๆ แล้วเราเดินทางมาไกล ถ้าถามคนขอนแก่นว่าวันนี้ที่ขอนแก่นชูอะไรเป็นอันแรกทุกคนจะตอบว่ารถไฟรางเบา เป็นรถไฟฟ้าแบบที่แตกต่างจากที่เคยมี คือการซื้อรถไฟซื้ออะไหล่แล้วเอามาใช้งาน แต่ของเราจะเป็นแบบ Technology transfer ทำให้ที่นี่เกิดเรื่องการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมรถไฟรางเบา การพัฒนาด้านการศึกษาการเรียนการสอน ในอนาคตเราจะมีช่างจากน้อง ๆ ที่สามารถสร้างรถรางได้เอง ซ่อมบำรุงได้เอง ซึ่ง 3 ปีที่แล้วเราได้รถไฟมาจากเมืองฮิโรชิม่า มาเป็นต้นแบบให้เรียนรู้ ตอนนี้เราผลิตต้นแบบ Model prototype ได้แล้ว โดยความร่วมมือของ มทร.อีสานวิทยา เขตขอนแก่น และตอนนี้กำลังจะลองวิ่งในมหาวิทยาลัย วิ่งรอบบึงแก่นนครก่อน
ผมมองว่าต่อไปในอนาคต ขอนแก่นจะเป็นศูนย์รวมการศึกษา ศูนย์รวมของ Strategic location ในอนาคตทั้งเรื่องของรถไฟ การสัญจรโลจิสติกส์ north south east west corridor ทรัพยกรที่สำคัญที่สุดของขอนแก่นคือ คน และเราเชื่อมถึงกันคุยกันได้หมด ด้วยความพร้อมแบบนี้เชื่อว่าเราจะเป็น Facilitator ของภูมิภาคได้ ด้วย Core system ในการพัฒนาคน พัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาการค้าการลงทุน และพัฒนาเมือง เราจะเติบโตสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้ในอนาคต น้อง ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้นมาก็จะเห็นว่าอีสานบ้านเรามีโอกาส ไม่เห็นต้องย้ายไปกรุงเทพหรือ ต่างประเทศ เรามาช่วยพัฒนาบ้านที่เราเกิดให้ดีขึ้นได้”
กมลพงศ์ สงวนตระกูล
ผู้บริหารโตโยต้าขอนแก่นและอดีตประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…