“ป้าย้ายมาอยู่ระยองตอนอายุ 17 ปี มาทำงานเป็นเด็กเดินตั๋วโรงหนังให้โรงหนังวิกศรีอุดมในย่านยมจินดานี่ สมัยนั้นคือเมื่อเกือบๆ 50 ปีที่แล้ว ถนนยมจินดาที่มีระยะทางไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรสายนี้นี่คึกคักมากเลยนะ มีโรงฝิ่น โรงแรม ร้านขายทอง ร้านรวง ร้านนั่งดื่ม มีที่ขึ้นสินค้าทางเรือ และโรงหนังตั้งอยู่ถึง 2 โรง คนระยองคิดอะไรไม่ออกก็มาพักผ่อน มาจับจ่ายใช้สอยบนถนนสายนี้
จุดเปลี่ยนน่าจะช่วงราวปี พ.ศ. 2527 ที่บ้านในย่านเริ่มเสื่อมโทรม และคนรุ่นหลังก็เลือกที่จะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น โรงหนังก็ทยอยกันปิดตัว บ้านเรือนในย่านจากที่เปิดทำการค้ากันส่วนใหญ่ ก็ปล่อยให้เขาเช่า หรือไม่ก็ปิดไว้เฉยๆ
ถึงจะซบเซา แต่ย่านยมจินดาก็ไม่ได้ตาย ยังพอมีธุรกิจดั้งเดิมที่ส่งต่อให้รุ่นลูกเปิดทำการอยู่ รวมถึงมีคนจากที่อื่นมาเช่าทำธุรกิจบ้าง ศาลเจ้าแม่ทับทิมในย่านก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวศรัทธาของคนไทยเชื้อสายจีนที่เป็นประชากรหลักของย่านนี้ รวมถึงย่านอื่นๆ ในจังหวัด บ้านเก่าหลายๆ หลังก็มีคนมาอนุรักษ์ กระทั่งมีกระแสของการฟื้นฟูย่านเก่าเมื่อราว 10 ปีก่อน ที่ทำให้ยมจินดาซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สุดของเมืองระยองเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
ป้าคิดว่าคนที่นี่เขาก็ตระหนักถึงคุณค่าของย่านนี้ดีแหละ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก็เหมือนกับย่านเก่าอื่นๆ ที่เมื่อคนในชุมชนเริ่มหันมาพูดคุยกัน จนเกิดการตั้งกลุ่มชาวบ้านที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำเสนอคุณค่าของพื้นที่ออกมาเป็นรูปธรรม
ชมรมอนุรักษ์และฟื้นฟูเมืองเก่าระยอง ถนนยมจินดา เป็นผลลัพธ์จากการที่คนในย่านยมจินดาเริ่มพูดคุยกัน และเห็นตรงกันว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่างให้ย่านกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เราเริ่มจากประสานงานหน่วยงานรัฐและองค์กรเอกชนในพื้นที่ เพื่อจัดกิจกรรมในย่าน มีการจัดถนนคนเดิน มีการปรึกษาหารือในการเปิดบ้านเก่าให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ไปจนถึงเกิดการจัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑ์เมืองระยอง’ เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของย่านและเมืองระยอง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดทำการเมื่อราว 6-7 ปีก่อน โดยใช้พื้นที่ภายใน ‘บ้านสัตย์อุดม’ บ้านของขุนศรีอุทัยเขตร์ (โป๊ง สัตย์อุดม) อดีตขุนนางและคหบดีในย่านแห่งนี้ ซึ่งลูกหลานของเจ้าของบ้านเปิดให้ชมรมอนุรักษ์ฯ ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เมือง โดยทางชมรมก็เป็นฝ่ายระดมทุนมาปรับปรุงพื้นที่ และได้ความร่วมมือจากชาวระยองในการรวบรวมสิ่งของมาจัดแสดง เช่น ภาพถ่ายเก่าๆ ของเมือง ภาพถ่ายเจ้าเมืองระยองในอดีต ข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน และอื่นๆ รวมถึงเป็นร้านขายสินค้าที่ระลึกที่ผลิตโดยคนในชุมชนเรา
ป้าเป็นคนดูแลที่นี่ค่ะ ก็มีทีมงานสลับกันมาดูแล เราไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ทุกคนจึงเป็นจิตอาสามาช่วยกันทำ ขณะเดียวกัน ถ้าช่วงไหนถนนเราจัดงานถนนคนเดิน ป้าก็จะทำก๋วยจั๊บโบราณมาขาย แต่ถ้าไม่มีงาน ป้าก็เอาสบู่ออร์แกนิก และน้ำยาอเนกประสงค์มาขายด้วย
ป้าไม่ใช่แค่คนดูแลเฉยๆ นะ เพราะถ้ามีคณะมาเยี่ยมชม ป้าก็จะเป็นคนนำชม บอกเล่าเรื่องราวที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ด้วยตัวเอง ป้าภูมิใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้บรรยาย เพราะได้เผยแพร่ความรู้ให้คนที่สนใจ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
ทุกวันนี้ทางชมรมอนุรักษ์ฯ ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการบริหารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ ป้าภูมิใจที่เห็นทุกคนทำงานร่วมกันอย่างโปร่งใส ถ้าหน่วยงานไหนมอบทุนมาพัฒนาพิพิธภัณฑ์หรือจัดกิจกรรม เราก็ใช้เงินนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกครั้ง ไม่มีกระเด็นเข้ากระเป๋าใคร เก็บบิลครบ และทำบัญชีไว้ตลอด ใครว่าเราไม่ได้ เพราะเรายึดมั่นหลักการ ซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรม และเที่ยงตรง
แต่ถึงแม้การบริหารจัดการของพิพิธภัณฑ์จะราบรื่นดี ใช่ว่าย่านยมจินดาของเราจะไม่เจอเรื่องท้าทายหรือความขัดแย้งอะไรนะ เพราะความที่ผู้คนในย่านมีความหลากหลาย และส่วนหนึ่งก็เป็นคนชราที่อยู่ติดบ้าน พอจัดงานในย่านทีก็มีเสียงสะท้อนว่าหนวกหูรำคาญ หรือไปปิดทางเข้าบ้านเขาบ้าง หรือการจะขอความร่วมมือกับบ้านบางหลัง ถ้าเขาเห็นว่าไม่ได้เงินอะไร เขาก็ไม่เต็มใจจะร่วมกับเรา ซึ่งก็อย่างว่าแหละ บางคนเขาก็ไม่ได้เห็นคุณค่าแบบที่เราเห็น ว่ากันไม่ได้
อย่างไรก็ดี ด้วยกำลังคนที่เรามีอยู่ ก็พยายามจะประสานงานให้ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันมากที่สุด ซึ่งป้าก็คิดว่าพอได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว ป้าก็พบว่าถนนยมจินดาก็เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมาได้ไกลขึ้นกว่าเดิมเยอะ”
รัตนา แก้วดาม
ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เมืองระยอง
และตัวแทนจากชมรมอนุรักษ์และฟื้นฟูเมืองเก่าระยอง ถนนยมจินดา
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…