“พอฟองสบู่แตกปี 2540 บริษัทที่ผมทำงานประจำก็ปิดตัวลง ผมเป็นคนรุ่นแรกๆ ที่เปิดท้ายนำทรัพย์สมบัติส่วนตัวมาขายจนเกิดเป็นตลาดนัด แต่หลังจากสู้อยู่สักพัก ปี 2542 ผมตัดสินใจพาครอบครัวย้ายกลับมาตั้งหลักที่บ้านเกิดที่นครศรีธรรมราช และยึดอาชีพเขียนบทความและเรื่องสั้นมาตั้งแต่นั้น
เพราะทำงานอยู่กรุงเทพฯ หลายปี เมื่อได้กลับมานครใหม่ๆ ผมพบว่าจังหวะของเมืองเชื่องช้าจนน่าตกใจ เมืองยังมีความเป็นชนบทและผู้คนอยู่กันสบายๆ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งไปไหน และไม่มีบรรยากาศของการแข่งขัน แม้จะเป็นเรื่องดีต่ออาชีพนักเขียน แต่ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ผมก็ใช้เวลาปรับตัวอยู่พอสมควรเหมือนกัน
ผมไม่มีความเป็นคนนครเลย ถ้าคุณนิยามวิถีคนนครในแบบที่ตื่นแต่เช้ามืดมานั่งร้านน้ำชาเพื่อพูดคุยกับเพื่อน หรือกินโรตีกับน้ำชาอีกรอบในตอนค่ำ อาจจะเพราะแบบนี้ ผมจึงไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเมืองมากนัก หากไม่ใช่การทำธุระ ซื้อข้าวของ หรือกินอาหารตามร้าน การใช้ชีวิตในเมืองของผมคือการใช้เวลากับการนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนต้นฉบับที่ร้านกาแฟ และใช้เวลาตอนเย็นเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะและเอาข้าวไปให้หมาและแมวจรจัดในสวน
อย่างไรก็ดี ความเป็นเมืองนครก็ถือเป็นวัตถุดิบหลักที่ผมนำมาใช้เขียนเรื่องสั้นตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นอันเรียบง่ายและวนซ้ำแต่ก็เปี่ยมไปด้วยรายละเอียดและสถานการณ์ ความเชื่อ ความศรัทธา ไปจนถึงปรากฏการณ์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง ที่กลายมาเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับจังหวัดจนถึงทุกวันนี้
ถ้าไม่นับช่วงเรียนหนังสือในวัยเด็ก ผมใช้ชีวิตอยู่เมืองนครมายี่สิบกว่าปีแล้ว แน่นอน เมืองเปลี่ยนแปลงไปจากที่ผมคุ้นเคยตอนที่กลับมาอยู่ใหม่ๆ อย่างเห็นได้ชัด เกิดการขยายตัว มีตึกรามบ้านช่องขึ้นหนาแน่นพร้อมสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ดีขึ้น และจังหวะของเมืองก็เร็วขึ้น แต่ถามว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ไหม ผมมองว่าที่นี่ก็เหมือนเมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่ในประเทศไทย คือเป็นเมืองที่ทุกคนอยู่ได้ แต่ยังห่างไกลจากความน่าอยู่
เพราะเมืองยังคงติดอยู่กับระบบราชการที่ล่าช้า ประชาชนเข้าถึงบริการได้ลำบาก ผู้คนหลายคนยังไม่เคารพในสิทธิ์ของกันและกัน ต่างคนต่างขับรถไม่เอื้อเฟื้อ กระทั่งคุณเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย น้อยเหลือเกินที่จะมีรถจอดให้คุณเดินข้าม ยังไม่นับรวมเมืองยังขาดพื้นที่สาธารณะที่ตอบสนองกับผู้คนทุกเพศทุกวัย สิ่งเหล่านี้หาใช่สิ่งที่ผมพบในเมืองนคร แต่เป็นเมืองใหญ่ๆ แทบจะทั่วประเทศ
จริงอยู่ที่ความหนาแน่นของประชากร ตึกรามบ้านช่อง ธุรกิจ และสาธารณูปโภค ล้วนเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นเมือง แต่สำหรับผม เมืองที่แท้จริงคือการที่ผู้คนในเมืองมีสำนึกของความเป็นพลเมือง เคารพ และมีน้ำใจต่อผู้อื่น รวมถึงมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการเจริญเติบโตของเมืองด้วยกัน สิ่งนี้ต่างหากคือความศิวิไลซ์ คือสิ่งที่ทำให้เมืองเป็นเมือง เมืองที่มีจิตวิญญาณ”
จำลอง ฝั่งชลจิตร
นักเขียน และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…