“ก่อนหน้านี้ผมเป็นหัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ความรับผิดชอบหลักคือการป้องกันปราบปรามการรุกล้ำพื้นที่ป่าชายเลนของกลุ่มทุนและชาวบ้าน หรืออีกนัยหนึ่งคือการบังคับใช้กฎหมายและไล่จับผู้ที่กระทำความผิดนั่นแหละครับ
ไม่ใช่งานที่สนุก แถมเครียดอีกต่างหาก เพราะในอีกมุม แม้เราจะคุ้มครองทรัพยากรไม่ให้นายทุนเข้ามาหาประโยชน์ เช่น การทำฟาร์มกุ้ง หรือการรุกล้ำพื้นที่ส่วนกลางมาเป็นส่วนตัว แต่ผมก็เข้าใจในฝั่งชาวบ้านที่เขาก็มีวิถีชีวิตและการทำมาหากิน หาปูหาปลาภายในพื้นที่ป่าชายเลนเหมือนกัน เราเข้าใจหัวอกเขา แต่ด้วยหน้าที่ เราก็จำต้องปราบปราม
ผมอยู่ที่นั่นสิบกว่าปี โดนมาหมดแล้ว ทั้งนายทุนเอาคนมายิงปืนขู่ จอดเรือทิ้งไว้ก็มีมือดีที่ไหนไม่รู้เอาทรายมาหยอดถังน้ำมัน เรือพังไปไม่รู้กี่ลำ จนมาคิดว่าจริงๆ ถ้าเราคุยกับชาวบ้านดีๆ ถึงกรอบการใช้พื้นที่ร่วมกัน พร้อมไปกับการให้เขาช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่ไปด้วย เราสามารถเปลี่ยนศัตรูให้กลายมาเป็นมิตรได้
แนวคิดเรื่องการสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผมจึงเริ่มที่ขลุง พอผมย้ายไปประจำที่ด่านเก่าในจังหวัดตราด ผมก็สานต่อวิธีการนี้ซึ่งก็เป็นไปด้วยดี กระทั่งปี 2557 รัฐบาลมีนโยบายทวงคืนผืนป่า บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ผมก็พบว่าผมทำงานนี้ไม่ได้ เพราะมองกันคนละแบบ ผมไม่เชื่อในไม้แข็ง แต่เชื่อในการเจรจาและสานประโยชน์ร่วมกัน ก็เลยตัดสินใจย้ายงาน
ก็พอดีกับปี 2558 จังหวัดระยองตั้งสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ผมก็ไปคุยกับอธิบดี นำเสนอแนวคิดเรื่องการทำงานส่งเสริมความร่วมมือกับเครือข่ายชาวบ้าน รวมถึงการพิจารณาระเบียบในการตั้งชุมชนชายฝั่ง อธิบดีท่านก็เห็นด้วย จึงมีการริเริ่มหน่วยงานย่อยใหม่ นั่นคือ ‘ส่วนส่งเสริมการมีส่วนร่วม’ อย่างเป็นทางการ
สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ทำหน้าที่ดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ครอบคลุมจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด จากอำเภอบ้านฉางไปจนถึงหาดเล็กในอำเภอคลองใหญ่ (ตราด) บทบาทของผมคือการรวมเครือข่ายชาวบ้าน และชวนให้เขามาเป็นแนวร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรในหมู่บ้านของพวกเขา ทั้งกลุ่มป่าชายเลน ทะเล กลุ่มท่องเที่ยว และประมงพื้นบ้าน ปัจจุบันมีด้วยกัน 85 เครือข่าย
หัวใจสำคัญของหน่วยงานนี้คือคนจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรให้ยั่งยืน คนอยู่ได้ และป่าก็ได้รับการอนุรักษ์ด้วย พอมีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ ก็ตกลงกันเรื่องการเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่รัฐ ตรวจสอบคนมากระทำความผิดในพื้นที่ ช่วยกันเก็บและคัดแยกขยะ เพาะพันธุ์สัตว์น้ำทดแทน ปลูกป่าฟื้นฟู รวมถึงการตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้เสริมให้กับคนในพื้นที่
ทั้งนี้ ผมมองว่าป่าโกงกางในตัวเมืองระยอง เป็นต้นแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของเครือข่ายชุมชนกับภาครัฐอย่างดี ขอย้อนกลับไปนิด ป่าโกงกางที่คุณเห็นเนี่ย แต่ก่อนไม่เป็นอย่างนี้เลยนะ ชาวบ้านเข้ามาตัดต้นไม้ มาจับปลา บ้างก็แบ่งพื้นที่ไปทำนากุ้ง กระทั่งปี 2560 รัฐบาลมีนโยบาย ‘ป่าในเมือง’ ให้คนอยู่ร่วมกับป่า ทางจังหวัดระยองก็เห็นว่าเรามีป่าชายเลนใจกลางเมืองถึง 300 ไร่ และที่ตำบลเนินพระอีก 200 ไร่ ซึ่งไม่มีจังหวัดไหนที่มีป่าชายเลนตั้งอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้
เราก็เข้ามาฟื้นฟู มีการชวนชาวบ้านปลูกเพิ่ม และพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นป่าในเมือง มีการก่อสร้างสะพานไม้ให้คนเข้าไปเดินชมพื้นที่ภายในได้ มีการทำประตูเชื่อมจุดต่างๆ ของเมืองเข้ากับป่าถึง 7 จุด โดยมีสำนักทรัพยากรชายฝั่งที่ 1 เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการ
เราเปิดป่าในเมืองเต็มรูปแบบเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมานี้เอง อย่างที่บอก พอผมทำงานเครือข่าย ก็มีการจัดตั้งกลุ่มชุมชนรวมถึงภาคธุรกิจซึ่งตั้งอยู่ตามพื้นที่ชายขอบของป่าให้มาช่วยกันดูแลป่าแห่งนี้ร่วมด้วย
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน ซึ่งเป็นชาวบ้านกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาร่วมสร้างสะพานไม้ในพื้นที่รวมถึงทำธนาคารปูตั้งแต่ก่อนมีโครงการป่าในเมืองด้วยซ้ำ กลุ่มร้านกาแฟเบลลินี่ ซึ่งเป็นตัวแทนภาคเอกชนที่พยายามขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ กลุ่มแม่ค้าแถวพระเจดีย์กลางน้ำ กลุ่มเก้ายอด และกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำระยอง ที่ต่างทำประมงพื้นบ้านด้วย โดยทั้ง 5 กลุ่มล้วนเป็นจิตอาสา ที่ต่างสร้างข้อตกลงมาร่วมดูแลผืนป่าแห่งนี้ เพราะต่างก็ตระหนักดีว่าถ้าป่าสมบูรณ์ ปากท้องและวิถีชีวิตของพวกเขาก็จะยั่งยืนตามมา
จริงอยู่การอนุรักษ์ธรรมชาติกับการมีอยู่ของชุมชนในพื้นที่ธรรมชาติเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน อย่างที่นักอนุรักษ์บางคนเคยบอกไว้ว่า การอนุรักษ์ที่ดีที่สุดคือการที่มนุษย์ไม่ต้องไปยุ่งกับธรรมชาติเลย แต่นั่นล่ะ ในเมื่อชุมชนตั้งอยู่แล้ว พวกเขาใช้ชีวิตหากินกับทรัพยากรในพื้นที่มาหลายชั่วรุ่น เราก็ต้องออกแบบวิธีให้คนอยู่กับป่าให้ได้
เพราะผืนป่า ภูเขา หรือทะเลอยู่ได้โดยไม่มีมนุษย์ แต่มนุษย์จะอยู่ไม่ได้หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ นั่นล่ะครับ การหาวิธีทำให้สิ่งแวดล้อมยั่งยืนร่วมไปกับเรา จะเป็นวิธีที่ทำให้สังคมมนุษย์เราสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้”
วินัย บุญล้อม
ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง)
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…