“นอกจากการที่มีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ในระดับที่กิ่งก้านของต้นโกงกางอันสูงใหญ่โน้มเข้าหากันจนเกิดลักษณะคล้ายอุโมงค์อันงดงาม ความพิเศษของผืนป่าในหมู่ 4 ของตำบลปากพูน ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุโมงค์ป่าโกงกาง1 ยังรวมถึงการเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญที่ใช้หล่อเลี้ยงชาวบ้านปากพูนจากรุ่นสู่รุ่น
ชาวบ้านใช้พื้นที่กว่าครึ่งของป่าชายเลนทำประมง บ่อเลี้ยงกุ้ง ปู และปลาตามธรรมชาติ และหลายคนอาจยังไม่ทราบว่าป่าแห่งนี้ยังเป็นแหล่งผลิตน้ำผึ้งชั้นดี ซึ่งเกิดจากผึ้งหลวงที่อพยพมาจากป่าในอุทยานแห่งชาติเขาหลวงมาทำรังตามกิ่งไม้ของต้นแสมดำในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมหล่อเลี้ยงชาวบ้านในชุมชนนี้กว่า 100 ครัวเรือน
โครงการวิจัยย่อยของพวกเรามีชื่อว่า ‘อุโมงค์โกงกาง: ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อพัฒนายกระดับสู่พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต และยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชน’ มีวัตถุประสงค์หลักคือการศึกษาและจัดทำฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นในอุโมงค์ป่าโกงกาง เพื่อจะพัฒนาสู่พื้นที่การเรียนรู้ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต พร้อมระบบบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญคือการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้จากอุโมงค์ป่าโกงกางแห่งนี้ นั่นก็คือน้ำผึ้งป่าโกงกาง
ทำไมต้องเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตใช่ไหมคะ ต้องกล่าวอย่างนี้ แต่ไหนแต่ไรชาวบ้านปากพูนมีการจัดการท่องเที่ยวอุโมงค์ป่าโกงกางอยู่แล้ว โดยคนที่นำเที่ยวก็เป็นชาวประมงเจ้าของเรือในพื้นที่นั่นแหละ เพียงแต่การท่องเที่ยวแบบเดิมจะมีลักษณะแบบ sightseeing คือมาดูวิถีชาวประมง ชมหมู่บ้าน แวะถ่ายรูปในอุโมงค์ป่าโกงกาง แล้วก็กลับไป แต่เราคิดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ ซึ่งมีพันธุ์ไม้ถึง 17 ชนิด และสัตว์ถึง 51 สายพันธุ์ ประกอบกับระบบนิเวศที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน รวมถึงเอื้อประโยชน์ให้กับวิถีทำมาหากินของชาวบ้าน องค์ความรู้เหล่านี้ควรได้รับการเผยแพร่ และเข้ามาเติมเต็มกิจกรรมการท่องเที่ยวในชุมชนอย่างยิ่ง
หลังจากลงพื้นที่สำรวจ เราก็สกัดข้อมูลที่ได้มา แบ่งประเภทของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนิเวศ เพื่อจัดทำป้ายที่ระบุข้อมูลโดยสังเขปของสายพันธุ์พืชและสัตว์ที่พบในแต่ละจุด พร้อมคิวอาร์โค้ดให้นักท่องเที่ยวสามารถสแกนเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม นั่นจะทำให้นักท่องเที่ยวทราบว่าปลาที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำคือปลาสายพันธุ์อะไร นกที่เกาะอยู่บนกิ่งต้นแสมคือนกอะไร เป็นต้น รวมถึงจัดทำแผนที่เส้นทางชมอุโมงค์ป่าโกงกาง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าใจถึงภาพรวมของพื้นที่ คล้ายเป็นการสร้างคอนเทนต์ซ้อนอยู่ในสถานที่จริง
ในขณะเดียวกัน เราก็ทำงานร่วมกับนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ในการพัฒนาน้ำผึ้งป่าโกงกางที่ชาวบ้านเก็บมาขาย เป็นแบรนด์สินค้าในระดับชุมชน มีการออกแบบตราสัญลักษณ์ และบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการใช้งาน และสร้างภาพจำในฐานะผลิตภัณฑ์ของชุมชน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้มีความเป็นสากลยิ่งขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวล เรานำข้อมูลในพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตแห่งนี้เปิดเป็น open data มอบให้ทางเทศบาลเมืองปากพูนสำหรับการเผยแพร่ รวมถึงนำรูปแบบการบริหารจัดการพื้นที่มอบให้ทางเทศบาลเจ้าของพื้นที่ได้ขับเคลื่อนต่อไป หรือหากมีนักท่องเที่ยวคนไหนค้นพบพืชหรือสัตว์ที่อยู่นอกเหนือจากที่เราสำรวจมา ก็สามารถอัพเดตข้อมูลลงไปได้ โดยในเบื้องต้น ข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ฯ จะถูกเผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊คของสำนักงานเทศบาล พร้อมคลิปสั้นๆ สำหรับประชาสัมพันธ์
เราค่อนข้างโชคดีที่ได้ร่วมงานกับชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ในหมู่ 4 ซึ่งมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งมาก และในขณะเดียวกันทางชุมชนเพิ่งมีการรณรงค์ยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายที่เป็นตัวการทำลายระบบนิเวศออกจากหมู่บ้านจนหมดสิ้น การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตในอุโมงค์ป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ จึงคล้ายเป็นหมุดหมายและผลสัมฤทธิ์ของการรณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของผู้คนในหมู่บ้านไปพร้อมกัน”
ผศ.ดร. สุภาวดี รามสูตร และ ดร.มัณฑกา วีระพงศ์
อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
และนักวิจัยในโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ปากพูน
หมายเหตุผู้เรียบเรียง: จากข้อมูลงานวิจัยระบุว่าป่าชายเลนในตำบลปากพูนมีทั้งหมด 23,357 ไร่ ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…