วิจัย อัมราลิขิต เป็นคนพนัสนิคม เริ่มทำงานการเมืองในฐานะสมาชิกเทศบาลในปี 2523 ก่อนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองพนัสนิคม เมื่อปี 2530 ความที่พื้นเพเขาเรียนมาด้านวิศวกรรมโยธา และมีความสนใจด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ภายหลังที่เขาเข้ารับตำแหน่ง สิ่งแรกที่เขาให้ความสำคัญคือการจัดการระบบระบายน้ำเสียของเมือง รวมถึงการต่อยอดโครงการจากนายกเทศมนตรีคนก่อน จรวย บริบูรณ์ ในการบำบัดน้ำเสียของโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาล ซึ่งเทศบาลเมืองพนัสนิคมเป็นเทศบาลแรกที่ริเริ่ม
“ผมมีโอกาสได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ หลายแห่ง บ่อยครั้ง พอผมแนะนำตัวว่ามาจากพนัสนิคม หลายคนก็ถามต่อว่าอยู่จังหวัดอะไร ตรงนี้แหละที่จุดประกายผมว่า จริง ๆ ก่อนที่จะมีการแยกอำเภอบ่อทอง และเกาะจันทร์ พนัสนิคมเป็นอำเภอที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชลบุรีนะ ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเรา แล้วถ้าเป็นแบบนั้น เมืองของเราจะเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างไร จากจุดนั้น ผมก็เลยมีความมุ่งมั่นว่าจะทำยังไงให้คนทั่วไปรู้จักพนัสฯ ให้ได้” นายกฯ วิจัย กล่าว
เริ่มต้นด้วยการวางกรอบแนวคิดการพัฒนาเมืองของเทศบาลฯ ไว้ 4 ประการ ได้แก่ 1) เมืองอยู่ดี 2) คนมีสุข 3) สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และ 4) องค์กรแห่งการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่ดี แล้วการยกระดับเมืองให้เป็นที่รู้จักไปพร้อมกับสร้างบรรยากาศของการเป็นเมืองน่าอยู่ให้กับเทศบาลเมืองพนัสนิคมของนายกฯ วิจัย ก็เริ่มต้นขึ้น จนคว้ารางวัลระดับประเทศและนานาชาติในจำนวนที่เกินนิ้วนับ รวมถึงได้รับยกย่องให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในประเทศ
WeCitizens สนทนากับนายกฯ วิจัย อัมราลิขิต ถึงเบื้องหลังความสำเร็จในการทำพนัสนิคมให้เป็นเมืองน่าอยู่ รวมถึงความท้าทายที่เมืองแห่งนี้กำลังเผชิญ และนี่คือเรื่องราวก่อนและหลัง การเปลี่ยนเมืองที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ให้กลายเป็นต้นแบบเมืองที่ถูกจารึกในด้านการจัดการเพื่อความยั่งยืนระดับนานาชาติ
“ภารกิจหลักของเทศบาลฯ ที่ทำร่วมกับ บพท. คือเราจะสร้างคอนเน็กชันของคนต่างวัย ให้ผู้สูงอายุส่งต่อต้นทุนทางวัฒนธรรม และให้คนรุ่นใหม่ต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เมืองของเรา”
เมืองอยู่ดี : จากจุดเริ่มต้นในการทำเมืองให้สะอาด
พนัสนิคมเป็นเทศบาลเมืองที่ได้รางวัลด้านความสะอาดและการบริหารจัดการเมืองเยอะมาก นี่เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของนายกฯ ที่จะทำให้พนัสนิคมเป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วยหรือเปล่าครับ
ใช่ครับ เป็นช่องทางหนึ่งที่ผมมองว่าจะทำให้คนนอกรู้จักพนัสนิคมของเราได้ ขณะเดียวกัน การวางยุทธศาสตร์เรื่องรางวัล ก็ทำให้คนทำงานทุกภาคส่วนมีความตื่นตัวในการทำงาน และพยายามยกระดับมาตรฐานของตัวเองอยู่เสมอ ในปีแรกที่ผมเข้ามาเป็นนายกฯ พอทราบว่าเขามีการประกวดเรื่องเมืองสะอาดระดับเทศบาล ผมก็ทำเรื่องการบริหารจัดการด้านความสะอาด พร้อมกับขอไปดูงานเมืองที่ได้รางวัล เพื่อนำมาปรับใช้ พอทำเสร็จก็ส่งประกวดเลย แม้ปีแรกเราจะได้แค่รางวัลชมเชย แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี กระทั่งปีต่อมาเราก็ได้รับรางวัลชนะเลิศ
คุณทำได้อย่างไร
เล่าให้เห็นภาพง่าย ๆ เราใช้ระบบบริหารจัดการเมืองแบบโรงงานอุตสาหกรรม มีทั้งโฟร์แมน และซูเปอร์ไวเซอร์ คอยควบคุมคุณภาพอีกที ทีนี้เราก็แบ่งเมืองออกเป็นโซน ๆ แต่ละโซนจะมีโฟร์แมนคุมถึง 3 คน และให้ซูเปอร์ไวเซอร์คุมทั้งหมด โฟร์แมนจะคอยขี่จักรยานดูแลความสะอาด ให้เขาพกไม้กวาดกับที่โกยไว้หลังรถ สำรวจเลยว่าตรงไหนไม่ดี เจอตรงไหนไม่เรียบร้อยก็จัดการ ส่วนซูเปอร์ไวเซอร์ให้ขี่มอเตอร์ไซค์จะได้เร็วหน่อย คอยตรวจเช็คอีกรอบ แล้วทุกเช้าวันต่อมา เราก็มาคุยกันหน้าเสาธงที่สำนักงานเลยว่าตรงไหนมีปัญหา
เข้าใจว่านี่เป็นมุมของการจัดการจากฝั่งเทศบาลฯ แล้วกับชาวบ้านล่ะ คุณมีวิธีการสร้างความร่วมมืออย่างไร
แน่นอน ในระยะแรก เราตั้งถังขยะไว้ทุก ๆ ร้อยเมตร ให้ชาวบ้านมาทิ้ง ถนนในเทศบาลฯ มีความยาวทั้งหมดประมาณ 26 กิโลเมตร เท่ากับเรามี 260 ถังทั่วเขตเทศบาลฯ ถังขยะตามท้องถนนเป็นแรงจูงใจให้คนอยากทิ้งขยะให้เป็นที่ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนนอกพื้นที่เอาขยะมาทิ้งด้วย นั่นทำให้เทศบาลฯ ใช้งบในการจัดการขยะมากขึ้นจนไม่เพียงพอ ทีนี้ ผมก็เลยลงไปคุยกับชาวบ้านทุกชุมชนเลย ถ้าเอาถังขยะออกหมด แล้วให้พวกเขาแยกขยะใส่ถุงดำตั้งไว้หน้าบ้านแทน เพื่อง่ายต่อการจัดเก็บ กระบวนการนี้ยังมาพร้อมการรณรงค์ให้ทุกคนแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง พร้อมกับที่แม่ค้าในตลาดเลิกใช้กล่องโฟมและลดถุงพลาสติก โดยตั้งเงื่อนไขว่าถ้ามีกล่องโฟม เราก็ไม่อนุญาตให้ขายในเขตเทศบาลฯ
นอกจากนี้ เรายังทำโครงการธนาคารขยะ สนับสนุนซาเล้งให้ซื้อขยะไปรีไซเคิล นำขยะย่อยสลายได้ไปทำปุ๋ยหมักอย่างจริงจัง แผนการนี้ช่วยลดขยะในเทศบาลฯ ได้มาก ในระดับที่บ่อขยะเดิมที่มีหลาย 10 ไร่ของเราแทบมีพื้นที่เหลือไปทำสวนเกษตรกรรมปลอดสารพิษได้เลย และเทศบาลฯ เราก็คว้ารางวัลชนะเลิศเมืองสะอาด 3 ปีซ้อน (พ.ศ. 2531-2533) ช่วงนั้นจำได้ว่าพอไปประชุมที่ไหน คนในมหาดไทยก็จะจำเมืองเราได้ในฐานะเมืองสะอาด และกลายเป็นที่ศึกษาดูงานไป นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จักพนัสนิคมมากขึ้น
นอกจากเมืองสะอาด พนัสนิคมยังขึ้นชื่อเรื่องการบำบัดน้ำเสียด้วย
เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้คุณจรวย นายกเทศมนตรีคนก่อนที่ท่านวางรากฐานไว้ดี พนัสนิคมเป็นเมืองที่ไม่มีแม่น้ำ แต่เรามีคลอง 2 สายไหลผ่าน คือคลองห้วยน้อยที่ไหลผ่านทิศเหนือ และคลองห้วยอีแขกที่ไหลผ่านเมืองทางทิศใต้ ถ้าคลองสองสายนี้เน่าเสีย เมืองทั้งเมืองนี่ดูไม่ได้เลยนะ คุณจรวยท่านริเริ่มโรงงานบำบัดน้ำเสียแบบ Oxidation Pond ไว้นอกเมือง และทำระบบท่อระบายน้ำแยกเป็นสัดส่วน ไม่ให้น้ำเสียในครัวเรือนไหลมาปนกับน้ำฝน แต่ก่อนหน้านี้เรายังพบปัญหาที่ไม่สามารถลอกคลองได้ ฤดูน้ำหลาก บางทีน้ำก็พาตะกอนต่าง ๆ มา ทำให้ท่อตันบ้าง สุดท้ายผมจึงนำท่อน้ำเสียเหล่านั้นมาแขวนไว้กับ Retaining Wall หรือกำแพงกันดินตลอดแนวเขตคลอง ทำให้ไม่เสียพื้นที่ ง่ายต่อการซ่อมบำรุง และป้องกันการรุกล้ำพื้นที่ลำคลองไปพร้อมกัน
ในขณะเดียวกัน เราก็แก้ปัญหาเรื่องน้ำเสียตั้งแต่ต้นทาง โดยแทบทุกครัวเรือนในเขตเทศบาลฯ จะมีบ่อดักไขมันติดตั้ง พอดักได้ต้นทางแล้ว เราก็กันไม่ให้น้ำเสียจากครัวเรือนไหลปนกับน้ำฝนที่อยู่ในคลอง โดยต่อท่อน้ำเสียไปตามทางเพื่อไปโรงบำบัดนอกเมือง และก็เอาน้ำที่บำบัดมาใช้รดต้นไม้ในสวนสาธารณะที่เรามี 14 แห่งทั่วเขตเทศบาลฯ
ผลจากการจัดการเช่นนี้ทำให้ในปี 2547 กระทรวงสาธารณสุขได้เลือกให้เราเป็น Healthy City หรือเมืองสุขภาวะดีของภาคตะวันออก ส่วนในปี 2551 สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) เลือกให้เราเป็นเมืองน่าอยู่อันดับหนึ่งของประเทศ ต่อมากรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ยังเลือกเมืองเราไปจับคู่มิตรกับเมือง Trevor ในรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ในฐานะเมืองที่มีการจัดการความสะอาดดีเด่น ซึ่งเราก็ได้โอกาสส่งคนไปแลกเปลี่ยนดูงาน ก็ได้องค์ความรู้จากต่างประเทศมาสานต่อให้เมืองเราเยอะครับ
อย่างที่บอก ผมคิดว่ารางวัลที่เราได้รับมาทั้งหมด มันไม่ใช่แค่การทำให้พนัสนิคมเป็นที่รู้จัก แต่มันยังทำให้เราแอ็กทิฟในการทำให้เมืองดียิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย ซึ่งนั่นล่ะ ที่สุดแล้ว ผลลัพธ์มันก็ตกมาที่คุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง
คนมีสุข: เมืองที่ดูแลสุขภาวะของคนทุกวัย
นอกจากคว้ารางวัลเมืองสะอาดและเมืองน่าอยู่ ในปี 2553 องค์การอนามัยโลกยังประกาศให้พนัสนิคมเป็นเมืองที่รณรงค์พิทักษ์คุณภาพชีวิตและสุขภาพคนเมือง 1 ใน 1,000 เมืองของโลก เลยอยากคุยต่อถึงประเด็นด้านการดูแลผู้คนของเทศบาลฯ ครับ
เรื่องนี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่เราทำอยู่แล้ว เราไม่ใช่แค่บริหารเมือง แต่จะทำยังไงให้ผู้คนที่นี่มีสุขภาวะที่ดีตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ เพราะอย่าลืมว่าการที่ใครสักคนประสบกับปัญหาสุขภาพ มันไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของเขา แต่มันยังเป็นต้นทุนที่เมืองต้องรับผิดชอบด้วย เช่นนั้นแล้ว เราดูแลตั้งแต่ต้นทางไม่ดีกว่าหรือ คุณแม่ที่ตั้งท้องต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อเด็กจะได้เกิดมามีคุณภาพ วัยรุ่นต้องเข้าถึงการศึกษา และผู้สูงอายุต้องได้รับการดูแล หรือมีกิจกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เราจึงคิดหมดตั้งแต่การทำพื้นที่ดูแลคุณแม่ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ไปจนถึงศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ขอขยายความเรื่องผู้สูงอายุหน่อยครับ เข้าใจว่าทุกวันนี้พนัสนิคมเป็นเมืองผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เรามีแผนรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
ใช่ครับ จากสัดส่วน 28% ของผู้สูงอายุในเมืองเรา พนัสนิคมเป็น Super Aged Society แล้ว ซึ่งอีกไม่กี่ปี ผมคิดว่าสัดส่วนมันอาจสูงถึง 30% ด้วย เรื่องนี้เราจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษโดยดูตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง อย่างปลายทาง เราก็ทำ Day Care เป็นแหล่งสันทนาการให้ผู้สูงอายุได้มีสังคม ได้มีกิจกรรมทำร่วมกัน เพื่อให้พวกเขาคลายเครียดในตอนกลางวัน จะได้ไม่ต้องอยู่บ้านเหงา ๆ ส่วนผู้สูงอายุติดเตียง เราก็เปิดการอบรมให้สมาชิกในครอบครัวสามารถดูแลพวกเขาได้อย่างถูกต้อง
ส่วนการรับมือต้นทาง คือเราจะทำยังไงให้เศรษฐกิจของเมืองเราดีพอจะจูงใจคนรุ่นใหม่ให้กลับมาบ้านเกิด ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าพนัสนิคมอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองเศรษฐกิจในภาคตะวันออก และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เลยเลือกจะย้ายไปทำงานที่อื่น จึงเหลือเพียงแต่เด็กเล็ก และผู้สูงอายุที่กลายมาเป็นประชากรหลัก เทศบาลฯ เลยมีแผนจะนำต้นทุนทางวัฒนธรรมและของดีที่เรามีในอดีตมาเป็นจุดขาย ปักหมุดให้พนัสนิคมเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาให้ได้
อะไรคือต้นทุนทางวัฒนธรรมของพนัสนิคม
เยอะครับ พหุวัฒนธรรม ไทย จีน ลาว เอย ซึ่งมาพร้อมอาหารการกินที่หลากหลาย ศิลปวัฒนธรรมอย่างการแสดงเอ็งกอของคนเชื้อสายจีน หัตถกรรมเครื่องจักสาน งานประเพณีบุญกลางบ้าน ไหว้พระจันทร์ และอื่น ๆ แต่นั่นล่ะ สิ่งที่เราขาดคือแลนด์มาร์กของเมืองที่ทำให้ทุกคนคิดถึงเมืองเรา พอทาง บพท. ชวนทำโครงการทั้งเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยศิลปากร ทีมนักวิจัยเขาจึงมีแนวคิดในการหลอมรวมต้นทุนที่เรามีเพื่อสร้างแลนด์มาร์กและจุดขายให้กับเมือง ทางเทศบาลฯ ก็เลยยินดีจะร่วมงานกับเขาเต็มที่ ซึ่งโครงการฯ ก็ได้เริ่มต้นในการเก็บข้อมูลและความคิดเห็นของคนในเมืองไปบ้างแล้ว
จากคำถามข้อที่แล้ว นายกฯ มองว่าการดึงดูดคนรุ่นใหม่กลับมา จะช่วยแก้ปัญหาสังคมสูงวัยที่ต้นทางได้
อย่างที่บอก พอคนรุ่นใหม่กลับมา เขาก็จะมาช่วยดูแลคนแก่ที่บ้าน แต่สำคัญกว่านั้นคือการที่พวกเขามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเมือง เราจำเป็นต้องทำเมืองให้พร้อม เพราะไม่ใช่แค่พวกเขากลับมาแล้วเศรษฐกิจจะดีเลย แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปกลับมาอีก หรือเด็กที่อยู่ที่นี่เลือกที่จะใช้ชีวิตต่อไปในบ้านเกิด ซึ่งในพื้นฐาน เช่น ความสะอาด พื้นที่สาธารณะ การคมนาคม เราค่อนข้างพร้อมแล้ว ฉะนั้น การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ ขณะเดียวกัน ในเมื่อเรามีผู้สูงอายุเป็นประชากรหลัก เราก็ใช้พวกเขานี่แหละเป็นอีกทุนสำคัญในการพัฒนาเมือง เพราะพวกเขาคือคนที่รู้จักต้นทุนทางวัฒนธรรมของเมืองเราดีที่สุด ก็หาวิธีเชื่อมโยงผู้สูงอายุเข้ากับคนรุ่นใหม่ ให้เขาเป็นต้นทุน และให้คนรุ่นใหม่เป็นคนนำต้นทุนไปต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ ภารกิจหลักของเทศบาลฯ ที่ทำร่วมกับ บพท. ตอนนี้ก็คือเราจะสร้างคอนเน็กชันตรงนี้อย่างไร ซึ่งโครงการวิจัยของ บพท. ก็กำลังหาคำตอบอยู่
สิ่งแวดล้อมยั่งยืน: เทศบาลเมืองที่มีสวนสาธารณะมากที่สุดในประเทศ
เทศบาลเมืองพนัสนิคมมีทั้งหมด 12 ชุมชน แต่ปัจจุบันมีสวนสาธารณะและสนามกีฬามากถึง 13 แห่ง ซึ่งมากกว่าเทศบาลนครในเมืองใหญ่ ๆ อีกหลายแห่งด้วยซ้ำ เลยอยากให้นายกฯ เล่าถึงนโยบายด้านพื้นที่สีเขียวให้ฟังหน่อยครับ
ผมว่าแต่ก่อนพื้นที่สีเขียวเป็นจุดด้อยของพนัสนิคมที่มีรูปแบบเป็นชุมชนเมือง เราไม่ได้มีพื้นที่ติดกับแหล่งธรรมชาติ และสมัยก่อนเรามีสวนสาธารณะแค่สวนเดียวตรงใกล้ ๆ กับหอนาฬิกา และก็มีสนามกีฬาอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก ผมจึงคิดว่านอกจากการทำพื้นที่ที่มีให้ดึงดูดผู้คนมาใช้งานแล้ว เราจำต้องทำสวนให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้คนมาพักผ่อนและออกกำลังกาย ก็เลยกางแผนที่ดูว่าชุมชนไหนมีที่ดินให้เราเช่าปรับปรุงไปเป็นสวนได้ ไม่ต้องใหญ่มาก ขอแค่มีที่เดิน ที่นั่งพักผ่อนเพียงพอ มีเครื่องออกกำลังกาย มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา และให้พื้นที่เหล่านี้กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมเมือง บ้านคุณใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น ชุมชนคุณอยากจัดงานอะไร ก็ใช้สวนในชุมชนเป็นที่จัดได้ ขณะเดียวกัน เรายังซื้อที่ดินเพิ่มจากโรงงานไม้ขีด เพื่อทำสวนขนาดใหญ่เพิ่มอีก 24 ไร่ เป็นสวนเฉลิมพระเกียรติ เป็นทั้งที่พักผ่อน และที่จัดงานของเมืองไปพร้อมกัน
นายกฯ บอกไว้ว่าเมืองยังขาดแลนด์มาร์ก การทำสวนสาธารณะนี่เป็นแลนด์มาร์กให้เมืองได้ไหม
มองแบบนั้นก็ได้ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น ผมมองสวนในฟังก์ชันของพื้นที่ยกระดับสุขภาพกายและใจให้คนในเมืองมากกว่า รวมถึงเป็นพื้นที่สันทนาการ ไปจนถึงแหล่งเรียนรู้ ซึ่งเราก็รณรงค์ให้ชาวบ้านร่วมปลูกต้นไม้ และให้พวกเขามีส่วนร่วมในการขึ้นทะเบียนต้นไม้กับเราด้วย พร้อมทำป้ายคิวอาร์โคดให้สแกนถึงข้อมูลต้นไม้ ให้เขาเข้าใจว่าต้นไม้เหล่านี้ให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้างนอกจากให้ร่มเงาและออกซิเจน
ส่วนเรื่องการทำแลนด์มาร์ก เรามองถึงพื้นที่กลางเมืองอย่างหอนาฬิกา หรือศาลเจ้า ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเชื่อมโยงหรือตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสวนสาธารณะที่เรามีอยู่แล้ว นั่นล่ะ ผมมองว่าสวนที่เราทำมันสอดรับกับเป้าหมายในการทำสิ่งแวดล้อมของเมืองให้ยั่งยืนมากกว่า ก่อนที่ผมมารับตำแหน่ง เทศบาลเมืองพนัสนิคมมีต้นไม้ไม่ถึง 1,000 ต้น แต่ตอนนี้เรามีมากถึง 4,000 ต้น ทุกต้นได้รับการขึ้นทะเบียนหมด โดยแบ่งเป็นต้นไม้ที่เทศบาลฯ ดูแล และต้นไม้ที่ให้แต่ละชุมชนเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ที่ต้นไม้มีป้ายหมายเลขเขียนไว้ชัดเจนว่าต้นไม้ต้นนี้ใครเป็นผู้ดูแล นอกจากจะรู้จำนวนที่ชัดเจนแล้ว เรายังคิดอัตราลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากตัวเลขต้นไม้ได้ด้วย
องค์กรแห่งการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่ดี: เมืองแห่งการมีส่วนร่วม
มาที่ส่วนสุดท้ายคือเรื่องการบริหารจัดการที่ดีบ้าง จริง ๆ ก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันที่จะให้นายกฯ พูดในสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วเรื่องธรรมาภิบาล
นั่นสิ มันเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ๆ เพราะถ้าเราไม่โปร่งใส เราจะไม่สามารถมีงบประมาณเพียงพอมาทำเมืองให้ได้รางวัลมากขนาดนี้ได้ ถ้าให้คุยเรื่องนี้ ผมขอคุยเรื่องการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมกับชุมชนดีกว่า เพราะนี่คือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง
อย่างไรครับ
ข้อดีของการที่เมืองเราเล็ก คือเราสามารถเข้าถึงความต้องการของชุมชนย่อยทั้ง 12 ชุมชนได้หมด ขณะเดียวกัน ความเป็นชุมชนเมืองเช่นนี้ ก็ทำให้เราสามารถสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมได้ง่าย วิธีคิดการพัฒนาแบบ Bottom Up จากชุมชนจึงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองเราตลอดหลายสิบปีมานี้
ผมใช้ SWOT Analysis มาทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับชุมชน อบรม ระดมสมอง ให้ความรู้ รับฟัง เอาเขามาเป็นทีม เหมือนสร้างเทศบาลเล็ก ๆ อยู่ในเทศบาลใหญ่อีกที ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ “ประเพณีงานบุญกลางบ้านและเผยแพร่เครื่องจักสานพนัสนิคม” ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ประจำปีที่เราจัดต่อเนื่องมา 30 กว่าปีแล้ว เราไม่เคยจ้างคนนอกมาเป็นออร์แกไนเซอร์เลย คนในชุมชนทำเองกันหมด ในเมืองของเรามีคนอยู่สามเชื้อชาติ คือไทย ลาว และจีน เราก็นำวัฒนธรรมและประเพณีทั้งสามเชื้อชาติมารวมกัน จัดเป็นงานนี้ขึ้นมา มีทั้งลานวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมจีน และลาว และให้เจ้าของวัฒนธรรมนั้นเป็นคนสร้างสรรค์พื้นที่ของเขาเข้ามา สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้คนพนัสฯ รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าภาพงานร่วมกัน แต่ยังสร้างกระบวนการการเรียนรู้ ทำความเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสานความกลมเกลียวซึ่งกันและกัน
เช่นเดียวกับงานไหว้พระจันทร์ ที่จริง ๆ เป็นงานของคนจีน แต่ความที่คนในพนัสฯ เขาสามัคคีมาก คนไทยกับคนลาวก็ร่วมตั้งโต๊ะไหว้พระจันทร์ในเทศกาลนี้ด้วย ทุกวันนี้ เทศบาลฯ พยายามจะรื้อฟื้นการแสดงเอ็งกอ เด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมก็มีทุกเชื้อชาติ ไม่ใช่ของคนจีนอย่างเดียว ความที่คนทั้งสามเชื้อชาติในเมืองเรามีความสนิทสนมกลมเกลียวและทำงานไปด้วยกัน งานต่าง ๆ เลยยั่งยืน เพราะเราใช้ประชาชนเป็นฐานในการทำงาน และเป็นหัวใจในการพัฒนาเมือง ตรงนี้แหละคือภาพที่ผมเห็นแล้วรู้สึกภูมิใจ
มองภาพพนัสนิคมในอนาคตไว้อย่างไร
เป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ผมก็พอใจมากแล้ว แต่อย่างที่บอก ถ้าเมืองมีแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่กลับมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้กว่าที่เป็นอยู่ เมื่อเมืองเศรษฐกิจดี และมีโอกาสในการเติบโต พนัสนิคมจะน่าอยู่ขึ้นกว่านี้อีกเยอะ ซึ่งนี่ก็เป็นนโยบายหลักที่เราให้ความสำคัญ เท่า ๆ กับการรักษามาตรฐานที่พวกเราทำไว้อย่างต่อเนื่อง
ติดตามการทำงานของนายกฯ วิจัย และเทศบาลเมืองพนัสนิคม ได้ที่ Facebook Page เทศบาลเมืองพนัสนิคม https://www.facebook.com/phanatnikhom.walkingstreet/?https://www.facebook.com/phanatnikhom.walkingstreet/?locale=th_TH
“เราเป็นคนอำเภอเกาะจันทร์ แต่ช่วงมัธยมฯ มาเรียนที่พนัสนิคม ซึ่งเราเห็นว่าพนัสนิคมเป็นเมืองสะอาดมาตั้งแต่นั้น คือตั้งแต่ตอนเราเป็นเด็ก เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วนะ จนพอสอบบรรจุเป็นข้าราชการด้านสาธารณสุข ตอนเขาให้เลือกเทศบาลสังกัด เราจึงเลือกเทศบาลเมืองพนัสนิคม ซึ่งไม่ใช่เพราะที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน แต่เมื่อเราหาข้อมูล จึงรู้ว่าเมืองนี้จริงจังเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมจริง ๆ จึงรู้สึกว่างานที่เราทำมันมีคุณค่า พอได้มาทำงานเราก็เห็นแบบนั้นจริง…
“เราเป็นคนบ้านบึง พื้นเพครอบครัวเราทำงานราชการสายท้องถิ่น พอเรียนจบจึงเลือกทำงานสายนี้ เราเคยเป็นลูกจ้างประจำในสำนักงานเทศบาลอีกแห่งหนึ่ง และย้ายมาบรรจุอีกหนึ่งที่ ก่อนตัดสินใจย้ายมาบรรจุที่เทศบาลเมืองพนัสนิคม เอาจริง ๆ ถึงแม่เราเคยทำเทศบาลฯ จนเกษียณที่นี่ แต่ก่อนหน้านี้ เราไม่มีความรู้สึกอะไรเกี่ยวกับพนัสนิคมเลย เราก็เคยขับรถผ่านและแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด และซื้อปลาร้า จำได้แค่ว่าเมืองนี้มีตลาดเก่าที่น่ารักดี และมีเครื่องจักสานขายเยอะเท่านั้นเอง…
ภายใต้โจทย์ในการแก้ปัญหาสภาวะ “เมืองหด” และทำให้เมืองที่น่าอยู่อยู่แล้วอย่างพนัสนิคม มีความน่าอยู่ที่ครอบคลุมถึงโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับคนรุ่นใหม่ เทศบาลเมืองพนัสนิคมจึงร่วมกับ บพท. ผ่านทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบูรพา และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ขับเคลื่อน โครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อบูรณาการคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวทางการมีส่วนร่วมของเขตพัฒนาเทศบาลเมืองพนัสนิคม เพื่อย้อนกลับมาสำรวจต้นทุนของเมือง รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และร่วมกับเครือข่ายชุมชนในการรวบรวมและนำเสนออัตลักษณ์ของเมือง เพื่อสร้างแม่เหล็กดึงดูดให้คนรุ่นใหม่กลับมาช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจบ้านเกิด พร้อมบรรเทาปัญหาสังคมสูงวัยที่เมืองกำลังเผชิญ…
แม้จะมีจุดเด่นคือความสงบและน่าอยู่ แต่ด้วยทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และเมืองหลักศูนย์กลางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างชลบุรี ฉะเชิงเทรา หรือระยอง เทศบาลเมืองพนัสนิคมจึงไม่สามารถฉกฉวยโอกาสต่อยอดฐานเศรษฐกิจจากเมืองหลักที่รายล้อม และทำให้คนรุ่นใหม่ในเมืองจำใจละทิ้งบ้านเกิดไปแสวงหาโอกาสจากเมืองเหล่านั้นแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นทำให้ในขณะที่พนัสนิคมกำลังประสบกับสภาวะ “เมืองหด” จากการที่ประชากรรุ่นใหม่ย้ายออกไปทำงานต่างถิ่น ขณะที่ตัวเมืองก็เข้าสู่สภาวะสังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2564 เมืองแห่งนี้มีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 25.89…
การทำงานวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย การทดลองต้นแบบ หรือการปฏิบัติการจริงบนฐานความรู้ร่วมกับชุมชน และหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ วิธีการนี้ถูกติดตั้งและใช้งานกันมาจนคุ้นเคยผ่านระบบของสภาเทศบาล การทำงานของกองยุทธศาสตร์ และแผนงบประมาณ รวมไปถึงกลไกของภาคประชาชน บรรดานักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเอกชน ทุกฝ่ายจึงต่างใช้เครื่องมือวิชาการ และงานวิจัยเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานร่วมกับท้องถิ่นแทบทั้งสิ้น แต่ในยุคที่ความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจ…
สร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อบูรณาการคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมของเขตพัฒนาเทศบาลเมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี WeCitizens (Vol.3) พนัสนิคมเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด เมืองพนัสนิคม เมืองที่ได้รับการยอมรับว่าพรั่งพร้อมด้วยศักยภาพความเป็นเมืองน่าอยู่ รับรองด้วยรางวัลจากหลากหลายสถาบัน กับความท้าทาย และการแก้โจทย์สำคัญของเมือง จากปรากฏการณ์ "เมืองหด" ด้วยแนวทางการฟื้นฟูย่านเก่า และพัฒนาเมืองเพื่อชวนคนรุ่นใหม่กลับบ้าน บอกเล่าเรื่องราวโดย…