“ผมย้ายมาอยู่หาดใหญ่ตั้งแต่ ป.4 มีแค่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็อยู่ทันเห็นช่วงที่หาดใหญ่รุ่งเรืองมากๆ ในแบบที่ถนนใจกลางเมืองคับคั่งไปด้วยผู้คนทั้งวันทั้งคืนมาแล้ว แต่ภาพแบบนี้ไม่มีในหาดใหญ่มาร่วมๆ 20 ปีแล้ว และสถานการณ์มันก็ดร็อปลงเรื่อยๆ จนมาตกสุดช่วงโควิด-19 ก่อนที่จะมีแนวโน้มกลับมาดีขึ้นในช่วงเวลานี้
ถ้าเทียบหาดใหญ่ยุคหลังโควิดกับช่วงเวลาของวัน ผมคิดว่าเราอยู่ราวๆ ตี 4 คือสำหรับคนที่นี่ยังเห็นว่ามืดอยู่ แต่คนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจเริ่มจะเห็นแนวโน้มแล้วว่าอีกสัก 2 ชั่วโมงก็เช้า อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบนี้เป็นแค่ความรู้สึก เราต่างไม่รู้ว่าเป็นตี 4 จริงหรือเปล่า อาจเป็นเที่ยงคืนก็ได้ หรือถ้าบริบทภายนอกยังคงเปลี่ยนแปลง แล้วผู้คนที่นี่ไม่เปลี่ยนตาม จากตี 4 อาจย้อนกลับไปเป็น ตี 3 หรือตี 2 ก็ได้
มีหลายปัจจัยครับที่ทำให้หาดใหญ่ดร็อปลงมา ไม่ว่าจะ disruption จากการค้าออนไลน์ที่ทำให้หาดใหญ่เสียสถานะของศูนย์กลางการค้า ปัจจัยจากราคายางพาราซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของจังหวัด หรือสถานะของการเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบ entertainment ที่ทุกวันนี้เมืองอื่นๆ ก็ทำได้
นอกจากนี้ มายด์เซ็ทของคนหาดใหญ่ก็เป็นส่วนสำคัญ จากเดิมที่ทุกอย่างวิ่งเข้าหาเราตลอด เราจึงแทบไม่รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองเลย ทำอะไรก็ขายได้ ขณะเดียวกัน ในด้านการเมือง เราก็ยังคงมองผู้บริหารเมืองในฐานะพระเอกขี่ม้าขาว ถ้าเราได้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีวิสัยทัศน์ก็ดีไป แต่ถ้าเขาเป็นข้าราชการรอเกษียณ เมืองก็จะย่ำอยู่แบบเดิม และอย่าลืมว่าข้าราชการเหล่านี้ล้วนมีวาระ คุณจะไปคาดหวังการพัฒนาที่ต่อเนื่องได้อย่างไร ผมจึงบอกกับทุกคนเสมอว่าคนหาดใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเอง เราต้องเป็นคนนำการพัฒนา และให้รัฐเป็นฝ่ายอำนวยความสะดวก
ในฐานะที่ผมเป็นประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยภาคใต้ ผมเคยชวนตัวแทนจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะสภาอุตสาหกรรม หอการค้า และอื่นๆ มาคุยกันว่าถึงเวลาที่หาดใหญ่ต้องจัดตั้งทีมเศรษฐกิจได้แล้ว ทีมนี้จะพิจารณาทุกโครงการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจของเมือง หาแนวร่วมในการพัฒนา ไม่ใช่แย่งกันทำอย่างที่เป็นอยู่ ปรากฏว่าในวงสนทนาครั้งนั้น มีผู้ใหญ่บอกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องตั้งทีมเลย ใครพร้อมอะไรก็ให้ทำไปก่อนเลยไม่ต้องคอย แล้วสุดท้ายก็เข้าสู่ลูปเดิม คุณทำทุกอย่างเหมือนเดิม แล้วจะหวังได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ ได้อย่างไร
ผมจึงคิดว่าถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องคุยกันเรื่องเมืองอย่างจริงจังได้แล้ว เมืองเราควรมีโปรเจกต์หรือมียุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากอย่างมั่นคงและให้ดอกผลแก่เศรษฐกิจเมืองอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา เราสูญเสียงบประมาณมากมายให้กับการจัดอีเวนท์เมือง ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเปล่าประโยชน์นะครับ อีเวนท์ช่วยสร้างสีสันและกระตุ้นเศรษฐกิจกับเมืองได้จริง แต่สัดส่วนที่เกิดตอนนี้มันผิด เอะอะก็จัดอีเวนท์ จัดเสร็จแล้วก็จบ ทุกคนแยกย้าย แถมผู้จัดก็เป็นออร์แกไนเซอร์จากกรุงเทพฯ อีก เขาจัดเสร็จ ก็ขนเงินกลับไป
เพราะแท้จริงแล้ว เมืองเราต้องมีสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานในการช่วยยกระดับผู้ประกอบการ สาธารณูปโภคที่มาตอบโจทย์ความเป็นศูนย์กลาง medical hub หรือการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของเรา รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยของเรา สมาพันธ์ของเราหรือหอการค้าทำ MOU กับองค์กรต่างชาติไว้แล้วไม่น้อย แต่เมืองเรากลับมีสาธารณูปโภคไม่เพียงพอให้ต่างชาติอยากมาลงทุน ขณะที่หน่วยงานรัฐที่ดูแลเรื่อง business matching ก็ไม่แอคทีฟมากพอ สิ่งที่ทำไปจึงไม่ได้ออกดอกผลเท่าไหร่
สาธารณูปโภคที่ผมว่าก็ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานของเมือง ทำให้เมืองมีความคล่องตัว ทำให้คุณภาพชีวิตผู้คนดีขึ้น ไปจนถึงในระดับการวิจัยและผลิตนวัตกรรม โดยในปัจจุบันเรามีอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มีศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือมีสถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีแล้ว แต่เราจำเป็นก็ต้องมีกลไกที่ช่วยเสริมศักยภาพของพื้นที่เหล่านี้ต่อไป
แน่นอน เราคงหวังจะให้หาดใหญ่กลับไปรุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว แต่ในสถานะของการเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคใต้ และการเป็นชุมทางรถไฟที่เชื่อมทรัพยากรต่างๆ ของไทยและมาเลเซีย รวมถึงพื้นฐานสาธารณูปโภคที่เมืองเรามีอยู่ตอนนี้ ผมเชื่อว่าหากทุกฝ่ายมานั่งคุยกันดีๆ และประสานความร่วมมือในการดำเนินกิจการต่างๆ หาดใหญ่จะสามารถฟื้นตัวกลับมาและเติบโตต่อไป
ผมมีภาพฝันเห็นเมืองของเราเป็นเมืองแห่งโอกาส เฉกเช่นเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ผู้คนทั่วสารทิศมาที่นี่เพื่อเข้าถึงโอกาส ผมเคยทำเวิร์คช็อปกับนักธุรกิจในเมืองหาดใหญ่ และได้ฟังคำพูดของอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าหาดใหญ่เคยเป็นเมืองที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก เป็นเมืองที่มีความสว่างรุ่งโรจน์ตลอดเวลา และใช่ครับ เราทำให้เมืองกลับมาเป็นแบบนั้นได้ แถมยังทำได้อย่างยั่งยืนกว่าด้วย”
พิชัย จงไพรัตน์
ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ภาคใต้
และประธานผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามคลาสสิค
http://www.siamclassic.co.th/
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…