“จริงๆ โปงลางไม่ใช่เครื่องดนตรีของกาฬสินธุ์ครับ มีเครื่องดนตรีที่คล้ายๆ กับโปงลางอยู่ทั่วโลก อินเดียนแดงที่อเมริกาเขาก็มีเหมือนกัน อินโดนีเซียหรือเวียดนามก็มี แค่เรียกชื่อต่างกัน โดยเฉพาะในอีสานเรามีกันทุกจังหวัด
แต่ที่คนส่วนใหญ่จดจำโปงลางว่าเป็นของกาฬสินธุ์ เพราะครูเปลื้อง ฉายรัศมี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านอีสาน) ซึ่งเป็นคนกาฬสินธุ์ได้พัฒนาเครื่องดนตรีชนิดนี้ขึ้นมา และพ่อประชุม อินทรตุล เพื่อนของพ่อผม ได้นำโปงลางมารวมวงกับพิณและแคนเป็นวงแรกออกจัดแสดงสู่สาธารณะ และตั้งชื่อวงว่า ‘โปงลางกาฬสินธุ์’ จึงกลายเป็นที่จดจำจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด อย่างขอนแก่นนี่เมืองแคนใช่ไหม ร้อยเอ็ดก็มีโหวด ส่วนกาฬสินธุ์ เราก็มีโปงลางเป็นสัญลักษณ์
และจากนั้นก็กลายเป็นธรรมเนียมว่าทุกโรงเรียนในกาฬสินธุ์จะมีวงดนตรีโปงลาง โดยทุกปีก็จะมีการประกวดวงโปงลาง รวมถึงการเล่นโปงลางพร้อมกันเป็นร้อยๆ คน จนเกิดเป็นงานมหกรรมโปงลางที่จัดขึ้นพร้อมงานกาชาดของจังหวัดในทุกปี
แต่ก่อนผมไม่สนใจจะเล่นโปงลางเลย ตามประสาวัยรุ่น ก็เป็นนักดนตรีวงสตริงโดยเล่นกีตาร์เป็นหลัก แต่เผอิญพ่อผมเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและก็มีวงโปงลางของโรงเรียน ตอนนั้นขาดสมาชิกอยู่ ความที่ผมเล่นดนตรีได้ทุกประเภท และก็คุ้นชินกับดนตรีอีสานที่ฟังมาแต่เด็ก เลยไปช่วยเขาเล่นพิณเบส จึงเริ่มซึมซับมา แต่ไม่คิดจริงจังอะไร จนเรียนจบและได้มาเป็นครูสอนศิลปะและดนตรีที่โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์เมื่อราวปี 2529 นี่แหละ
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด และตอนนั้นโปงลางเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว พ่อผมก็บอกว่าครอบครัวเราทำโปงลาง ทำไมผมไม่ไปทำให้โรงเรียนบ้าง จากที่คิดแต่จะทำวงโยธวาทิตและวงสตริง ซึ่งก็ทำได้เรื่อยๆ ผมก็เลยลองมาโฟกัสกับวงโปงลางดู ปรากฏว่ามันดัง กลายเป็นว่าจังหวัดมีงานอะไร เขาก็ให้วงที่ผมดูแลไปจัดแสดง พอเราสอนเด็กๆ มากๆ เข้าก็ผูกพันกับโปงลาง ขณะเดียวกันหน้าที่การงานในฐานะครูสอนโปงลางก็ผูกโยงกับจังหวัดมาตั้งแต่นั้น
หลังเกษียณ ผมก็รับงานอาสาสมัครด้านการสอนโปงลางเรื่อยมา ไปสอนที่อเมริกาอยู่หนึ่งปี และกลับมาจัดอบรมเรื่องโปงลางแก่เด็กๆ ที่กาฬสินธุ์ รวมถึงสถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั่วประเทศ ก็เลยมีลักษณะเหมือนที่ปรึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมและดนตรีของเมืองนี้ไปโดยปริยาย โดยหลังจากมีการย้ายศาลากลางออกไปนอกเมือง ตอนแรกทางจังหวัดยังไม่มีแผนจะทำอะไรกับอาคารหลังเก่าดี เขาก็ชวนให้ผมใช้พื้นที่เปิดสอนศิลปะและดนตรีแก่เด็กๆ ตรงนี้ทุกสัปดาห์ เป็นโครงการ ‘จับปูใส่กระด้ง’ จนต่อมา เทศบาลได้พื้นที่นี้ไปรับผิดชอบ ก็สรุปว่าจะปรับปรุงเป็นหอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์ ผมก็ถูกชวนให้มาเป็นประธานกรรมการ
จะว่าไปหอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์ ก็มีที่มาส่วนหนึ่งจากโครงการจับปูใส่กระด้ง เพราะจากที่ผมรับหน้าที่จัดกิจกรรมแก่เด็กๆ ผมก็ชวนศิลปินในบ้านเรานี่แหละมาสลับสับเปลี่ยนเป็นวิทยากร ก็พบว่าเมืองเรามีศิลปินหลากแขนงอยู่เยอะมาก ที่สำคัญเด็กๆ ก็สนใจเรียนศิลปะด้วย พอเทศบาลฯ ได้พื้นที่ ผมกับกลุ่มเพื่อนศิลปินก็ลองเสนอไปว่าเราน่าจะทำพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย เพราะเมืองเรามีศิลปินเยอะ และศิลปินแต่ละคนก็มีเครือข่ายศิลปินทั่วประเทศรวมถึงต่างประเทศด้วย ตรงนี้จะกลายเป็นพื้นที่จุดประกายทางศิลปะแก่คนกาฬสินธุ์ แถมยังดึงดูดคนจากจังหวัดต่างๆ มาเยี่ยมชมได้
นายกเทศมนตรี (จารุวัฒน์ บุญเพิ่ม) ก็เห็นดีด้วย จึงจัดสรรงบประมาณมาบูรณะ และจัดหาบุคลากรมาบริหารจัดการ ส่วนเราก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการ คอยจัดหาผลงานมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการโดยจะหมุนเวียนงานหนึ่งไม่เกิน 2 เดือน นั่นจะทำให้คนที่นี่ได้ดูนิทรรศการศิลปะจากศิลปินไทยและนานาชาติอย่างน้อยๆ ก็ปีละ 6 งาน
ถ้าถามผม ผมก็มองว่ากาฬสินธุ์เราเด่นเรื่องศิลปะและโปงลางนี่แหละครับ เรามีช่างศิลป์เก่งๆ ที่ไปทำงานที่วัดต่างๆ ทั่วประเทศ ส่วนศิลปินร่วมสมัยก็มีงานไปแสดงต่างประเทศไม่น้อย ส่วนโปงลางนี่ไม่ต้องพูดถึง เด็กๆ หลายคนทำวงโปงลางไปรับจ็อบแสดงงานตามที่ต่างๆ สร้างรายได้เสริมมากมาย และอย่างที่บอก เรามีมหกรรมโปงลางที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ
แต่ผมบอกคุณไม่ได้หรอกว่าเราควรขับเคลื่อนเมืองกาฬสินธุ์ไปในทิศทางใด คนที่บอกคุณได้คือชาวบ้าน ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดหลายคน แต่ละคนมา แกก็จะเรียกคนเก่าแก่ คนที่ทำงานด้านนี้มาคุย เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวจังหวัด บางคนก็เอาไดโนเสาร์ บางคนคิดจะทำกระเช้าจากภูกุ่มข้าวไปภูสิงห์ บางคนไปโฟกัสที่พระธาตุยาคู หรือทำโคมไฟจำลองวัดดังๆ ของจังหวัด แล้วพอหมดวาระ พวกเขาก็ไปประจำที่อื่น คือทุกคนต่างมีไอเดียของเขา แต่เขาไม่เคยถามคนกาฬสินธุ์จริงๆ เลยว่าคนที่นี่ต้องการอะไร ผมจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้ นอกจากให้คุณไปถามชาวบ้านเองดีกว่า
ซึ่งนั่นล่ะ ผมอายุ 70 ปีแล้ว ผมก็ช่วยเมืองเท่าที่ช่วยได้ เท่าที่ความสามารถผมจะมี แต่ไม่อาจไปชี้นำคนรุ่นหลังได้หรอก ก็อยากฝากหน่วยงานรัฐทุกหน่วยว่าจะทำอะไร ก็ควรให้ชาวบ้านมามีส่วนร่วมเยอะๆ ไม่ใช่ว่าเราคิดจากของเราฝ่ายเดียว และเหมารวมไปเองว่าชาวบ้านเขาจะเห็นดีด้วย”
ธงชัย คำโสภา
ศิลปินพื้นบ้านและประธานอนุกรรมการดำเนินงานหอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์
Facebook: หอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์
“ระบบนิเวศอีสปอร์ตคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะผ่านการยกระดับศักยภาพของผู้คน” ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram หรือ YouTube ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสื่อสารหรือความบันเทิงอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเครื่องมือสร้างอาชีพ และพัฒนาทักษะของผู้คนทั่วโลก เช่นเดียวกับ “อีสปอร์ต” (Esports) หรือการแข่งขันวิดีโอเกม ที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ…
เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ไม่ใช่แค่เรื่องของเซ็นเซอร์ แพลตฟอร์ม หรือระบบ AI ที่แม่นยำ แต่หัวใจที่แท้จริงของมันคือ “ผู้คน” – เพราะถ้าขาดการรับฟังเสียงสะท้อน หรือกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เมืองจะไม่มีวันรู้ว่าควรก้าวไปทางไหนแต่ในโลกหลังโควิด-19 ที่ลานกิจกรรมถูกแทนที่ด้วยหน้าจอมือถือ—หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่บริหารเมืองกลับเข้าไม่ถึงประชาชนได้มากพอ…
“แม้จะเป็นการเล่นเกม แต่นครสวรรค์ก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะนี่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เปลี่ยนให้เมืองผ่านกลายมาเป็นจุดหมายของใครหลายคน” เมื่อเอ่ยถึงนครสวรรค์ คุณนึกถึงอะไร? ประตูสู่ภาคเหนือ, “เมืองปากน้ำโพ” ชุมทางการค้าทางเรือในอดีต, เทศกาลตรุษจีน, ขนมโมจิ, ดินแดนอาหารอร่อย หรือ “พาสาน” แลนด์มาร์กแห่งใหม่กลางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพจำเหล่านี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึง…
“เรามีโครงสร้างพื้นฐานในการเป็นสมาร์ทซิตี้พร้อมแต่ที่ผ่านมา เรายังไม่มีกลไกในการพัฒนาบุคคลในกรอบนี้และอีสปอร์ตจะกลไกหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากเด็กและเยาวชน” ไม่เพียงแต่เทศบาลนครนครสวรรค์จะเป็นหนึ่งในเทศบาลแห่งแรกที่ได้รับการคัดเลือกโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ให้เป็น เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตั้งแต่ปี 2564 หากแต่ในปัจจุบัน เทศบาลนครซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ…
“ผมไม่ได้ฝันว่าจะต้องมีซิลิคอนวัลเลย์ในนครสวรรค์แต่หวังว่าเราจะสามารถสร้างงานให้เด็กคนหนึ่งไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯไม่ต้องทิ้งบ้านเกิดไปเพราะไม่มีโอกาส” “ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพาโลกไปไกล เกมกลายเป็นสื่อที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างน่าทึ่งผมยกตัวอย่างลูกชายผม เขาเรียนอยู่ ป.1 มีเกมอยู่ 2 เกมที่เขาเล่นประจำ คือ Sprunki และ Roblox สองเกมนี้เน้นเรื่องการแปรรูปจินตนาการให้กลายเป็นรูปธรรม ตอนแรกผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกมนี้หรอก จนมาศึกษา…
“ผมไม่ได้ปฏิเสธการศึกษาในระบบ แต่ถ้าเราสามารถสร้างทางเลือกให้กับเด็กที่มีความฝันจริงจังผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ควรต้องหาวิธีส่งเสริมพวกเขา” “สำหรับการขับเคลื่อนอีสปอร์ตให้กลายเป็นหนึ่งในกลไกการพัฒนาเมือง ผมมองออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือ ผมเคยสอนวิชาอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่คณะบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา และตระหนักดีว่าสิ่งที่ทำให้ศาสตร์นี้ รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับผู้เรียน…