ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าคณะประสานงานโปรแกรม CIAP ภาคเหนือ
“ส่วนดีนอกจากงานวิจัยจะเข้าไปช่วยงานเทศบาลได้แล้วก็คือ เราสามารถเปรียบเทียบงานพัฒนาเมืองในปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ว่ามีความท้าทายอะไร และผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่”
การทำงานโดยใช้โปรแกรม CIAP ในปีนี้ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ เรื่องหนึ่งคือ บริบท และโจทย์ของแต่ละเมืองไม่เหมือนกัน แต่จากประสบการณ์การทำงานวิจัยพัฒนาเมืองของ บพท. และคณะทำงาน เราพบว่ามีเครื่องมือ และนวัตกรรมอยู่ชุดหนึ่งที่น่าจะเวิร์คกับเมืองของเราได้ โดยหัวใจอยู่ที่โจทย์วิจัยที่ต้องมาจากท้องถิ่น มาจากวิสัยทัศน์ แผนงาน และความสนใจของเขาเอง แล้วเอาเครื่องมือนี้ไปใช้ เอานักวิจัย วิชาการเข้าไปร่วมงาน ส่วนดีนอกจากงานวิจัยจะเข้าไปช่วยงานเทศบาลได้แล้วก็คือ เราสามารถเปรียบเทียบงานพัฒนาเมืองในปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ว่ามีความท้าทายอะร และผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหมายหรือไม่
ในงานโปรแกรมฯ อาจารย์มีส่วนช่วยสนับสนุนเมืองในภาคเหนือ ได้แก่ เทศบาลนครลําปาง เทศบาลเมืองลําพูน เทศบาลนครนครสวรรค์ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลนครเชียงราย และเทศบาลเมืองแพร่ ภาพรวมของเมืองทั้งหมดแบ่งเป็นกลุ่มง่าย ๆ ได้ว่า เทศบาลนครลำปาง และเทศบาลเมืองลำพูนจะเน้นไปที่การใช้วัฒนธรรมนำเรื่องการพัฒนาเมือง โดยกลุ่มเป้าหมายอาจเป็นผู้สูงอายุ หรือภาคประชาชน ชุมชน และเอกชนที่จะมีบทบาทเข้ามาช่วยตั้งแต่ระดับข้อมูลไปจนถึงปฏิบัติการ และเกิดผลลัพธ์ เช่นเดียวกับที่เทศบาลเมืองแพร่ที่เน้นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ผ่านเป้าหมายการสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ โดยใช้เทคโนโลยี
สำหรับเมืองพิษณุโลก ท้องถิ่นและนักวิจัยให้ความสนใจกับการพัฒนาย่านชุมชนเก่าในเมือง โดยใช้การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยว ขยายผลจากพื้นที่ตลาดใต้ในเขตเทศบาล เมืองเชียงราย มุ่งเป้าไปที่การสร้างเมืองนวัตกรรมทางเกษตร และสร้างศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมการเกษตร พร้อมส่งเสริมความแข็งเรงของนิเวศเกษตรปลอดภัยให้เกิดขึ้นในเมือง และสุดท้ายคือเมืองนครสวรรค์ ที่สนใจการขับเคลื่อนเมืองให้เป็น E-Sport City และเป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ในระดับภูมิภาค งานวิจัยก็จะเข้าไปเติมความเข้มแข็งของนิเวศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นใหม่ น่าสนใจ และท้าทายมาก
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…