“พะเยาเป็นหนึ่งในสี่เมืองของไทย ที่ได้รับการเสนอชื่อขึ้นทะเบียนเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก ซึ่งก่อนหน้านี้เราในฐานะทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพะเยา ได้ขับเคลื่อนโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ต่อเนื่องมาสองปี ปีนี้เป็นปีที่สามแล้วครับ (ทั้งสี่เมืองประกอบด้วยเชียงใหม่ สุโขทัยและหาดใหญ่ โดยเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 จังหวัดพะเยา ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกอย่างเป็นทางการ)
ในปีแรกของโครงการพะเยาเมืองแห่งการเรียนรู้ เราเน้นที่การประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนในเขตเทศบาลเมืองเข้าใจก่อนว่าเราจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ไปทำไม เป็นแล้วมันจะดีต่อเมือง หรือช่วยปากท้องชาวบ้านได้อย่างไร
พอเข้าปีที่สอง นอกจากเราจะได้ขยายพื้นที่โครงการจากความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เรายังมุ่งสร้างเครือข่ายพื้นที่การเรียนรู้ในเมืองเป็นหลัก โดยใช้กลไกจากโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG
BCG เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่คำนึงถึงการหมุนเวียนทรัพยากร และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
แม้ดูเป็นคำที่ใหม่ แต่เอาเข้าจริงผู้ประกอบการในพะเยามีรูปแบบการทำธุรกิจและวิถีชีวิตเชื่อมโยงกับ BCG อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรืออาหารการกินส่วนใหญ่ก็มาจากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทั้งนั้น
ส่วนในปีที่สาม เรายังเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการ เท่าๆ กับที่หารูปแบบการดำเนินโครงการของเราให้ยั่งยืนโดยอาจไม่ต้องพึ่งพา ทุน บพท. ในอนาคต เพราะเราไม่อยากให้โครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ต้องหยุดลง หากเกิดเราไม่ได้รับทุนสนับสนุนต่อ ก็คิดว่างั้นจะทำยังไงได้ ผู้ประกอบการจะมีส่วนขับเคลื่อนโครงการได้ด้วยตัวเองอย่างไร ซึ่งหนึ่งในวิธีที่คิดไว้คือการก่อตั้งบริษัทพัฒนาเมือง แสวงหาการร่วมทุน หรือการที่ชุมชนมาเป็นหุ้นส่วนในโครงการพัฒนาเมือง ซึ่งก็ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับเครือข่าย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป
ผมมองว่าในหลายปีหลังมานี้ คนพะเยาและเครือข่ายชุมชนต่างๆ มีความตื่นตัวในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาส่งเสริมอาชีพหรือพัฒนาธุรกิจได้พอสมควรเลยนะครับ ติดอยู่ก็ตรงที่การบริหารจัดการของหน่วยงานราชการที่ยังล่าช้ากว่าโลกปัจจุบันพอสมควร เช่น พวกงานทะเบียนเอกสาร ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการ
คุณดูอย่างธนาคารทุกวันนี้สิ เขามีแอปพลิเคชั่นรองรับธุรกรรมทางการเงินรวดเร็วมากๆ แต่พอมาเป็นราชการ ติดต่อเรื่องทะเบียนอะไรที ก็อาจเสียเวลารอ หรือคนป่วยไปใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ ทุกวันนี้คุณยังต้องไปจองคิวตั้งแต่ตีสี่ตีห้าอยู่เลย
ผมมองว่าถ้าระบบราชการเปลี่ยนได้ ไม่เพียงทำให้การพัฒนาเมืองมันเคลื่อนได้เร็ว คุณภาพชีวิตคนในเมืองก็จะดี และช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้มากด้วย
เมืองแห่งการเรียนรู้จึงไม่ใช่แค่การสนับสนุนให้คนในเมืองได้เรียนรู้ แต่ภาครัฐจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน เรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เรียนรู้ที่จะลดขั้นตอนการทำงานไม่ให้เชื่องช้าอุ้ยอ้าย เรียนรู้ที่จะปรับตัวไปตามโลกที่เปลี่ยนไป
เพราะอย่าลืมว่ารัฐคือกลไกสำคัญที่จะทำให้เมืองพัฒนา จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าคนในเมืองแอคทีฟ ผู้ประกอบการแอคทีฟ และผู้บริหารเมืองก็แอคทีฟ แต่ระบบการจัดการเมืองไม่แอคทีฟตาม”
ผศ.ดร.รัฐภูมิ พรหมณะ
รองผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยพะเยา
และนักวิจัยในโครงการพะเยาเมืองแห่งการเรียนรู้
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…