“เราคิดว่าการสร้างแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมเพื่อรู้จักตัวเอง รู้จักชุมชน และรู้จักเมืองที่พวกเขาอยู่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ช่วยให้เมืองเมืองนั้นมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เพราะแม้เราจะรู้กันดีว่าหาดใหญ่เป็นเมืองการค้าและศูนย์กลางการศึกษาของภาคใต้ แต่เมื่อเราและทีมงานเมืองแห่งการเรียนรู้ มีโอกาสลงพื้นที่สำรวจข้อมูลผู้คนในชุมชนเลียบคลองเตยย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่ กลับพบว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีงานอดิเรก บางส่วนเป็นผู้ประกอบการที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน บางส่วนเป็นคนวัยเกษียณที่รับจ้างเฝ้าร้านให้ผู้ประกอบการอีกทอดหนึ่ง หากไม่ใช่การพักผ่อน คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรในเวลาว่าง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะหาดใหญ่ไม่มีพื้นที่สาธารณะที่เพียงพอ หรือถ้ามีก็กลับใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ซึ่งมองในมุมที่เราเป็นทั้งแม่และอาจารย์ (อาจารย์สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ – ผู้เรียบเรียง) เราก็พบว่าสนามเด็กเล่นที่เมืองมีหลายแห่งยังไม่ได้มาตรฐาน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเห็นสนามเด็กเล่นหลายแห่งถูกทิ้งร้าง ไม่นับรวมพื้นที่กิจกรรมอื่นๆ ของวัยรุ่นและวัยอื่นๆ เมื่อพื้นที่ไม่พร้อม กิจกรรมจึงไม่มี ความคิดสร้างสรรค์ก็เลยไม่เกิด
เราเป็นหนึ่งในทีมงานโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยเข้ามาร่วมกับโครงการคลองเตยลิงก์ ปี พ.ศ. 2564 บทบาทของเราคือการพูดคุยกับตัวแทนชุมชน 200 คนจาก 10 ชุมชนที่อยู่เลียบคลองเตย เกี่ยวกับประวัติชุมชน วิถีชีวิตของคนในชุมชน อาหารขึ้นชื่อ ไปจนถึงความคาดหวังต่อโครงการและการพัฒนาจากภาครัฐ จากนั้นเราก็ออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมชุมชนแต่ละแห่งเข้าด้วยกันด้วยภูมิปัญญาของคนในชุมชนเพื่อคนในชุมชน
กล่าวคือ พอเรารู้จักแล้วว่าชุมชนไหนเด่นในเรื่องอะไร เราก็ดึงผู้เชี่ยวชาญจากชุมชนนั้นๆ หรือจากสถานศึกษาในชุมชนมาเป็นวิทยากร แล้วก็ชวนเด็กและเยาวชนตั้งแต่ ป.1 ถึงม.ต้น มาร่วมเวิร์คช็อปและทำกิจกรรมร่วมกันในทุกสัปดาห์
กิจกรรมก็มีตั้งแต่เดินสำรวจชุมชนไปพร้อมกับเรียนรู้บทเรียนทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพจากสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ก่อนจะให้เด็กๆ นำใบไม้มาฝนสีทำงานศิลปะกัน กิจกรรมเรียนรู้และแสดงมโนราห์ ก่อนจะถอดองค์ความรู้ด้วยการให้น้องๆ นำวัสดุที่มีมาสร้างสรรค์เป็นชุดโนราห์ DIY ของตัวเอง กิจกรรมเรียนรู้หมากรุกจีน หรือที่ได้รับเสียงตอบรับดีเป็นพิเศษ คือกิจกรรมเชิดสิงโต ซึ่งเราได้คณะเชิดสิงโตจากศาลเจ้าเซี่ยงตึ๊งมาสอน รวมถึงชวนน้องๆ ขึ้นศาลเจ้าไปชมห้องเก็บหัวสิงโตด้วย
เราออกแบบกิจกรรมโดยเน้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และลงมือทำด้วยตัวเองเป็นหลัก อย่างเชิดสิงโตเนี่ย ไม่เพียงเด็กๆ จะได้ฟังประวัติการเชิดสิงโตในหาดใหญ่ พวกเขายังได้เชิดสิงโต และมีการทดลองเอาวัสดุมาประกอบเป็นชุดเชิงสิงโต DIY แบบที่ทำในกิจกรรมมโนราห์ด้วย โดยหลังจบกิจกรรมก็มีการถอดบทเรียน เพื่อให้พวกเขาเข้าใจถึงที่มา ความหมาย และความสำคัญของภูมิปัญญาต่างๆ ในพื้นที่
ด้วยเวลาอันจำกัด เรามีความเสียดายเล็กน้อยที่ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ไม่ได้จัด เพราะถึงแม้อย่างที่บอกว่าในภาพรวม คนหาดใหญ่ดูเหมือนไม่มีงานอดิเรกกัน แต่ก็มีบางชุมชนที่เขาทำกิจกรรมกันเองและแทบไม่เห็นในปัจจุบันแล้ว เช่น ชุมชนกิมหยงสันติสุข ที่แม้คนส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้า แต่กลุ่มผู้สูงวัยของที่นี่ยังมีการรวมตัวกันเล่นกีฬาวู้ดบอล (Woodball) ในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นภาพที่น่ารักมาก เป็นต้น
และเพราะได้ทำกิจกรรมตรงนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำกับเราว่าพื้นที่สาธารณะคือสิ่งสำคัญ เพราะนี่จะเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนที่มีความสนใจเดียวกันมารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน และเมื่อมีการเคลื่อนไหว มันก็จะดึงดูดให้คนที่มาเห็นและเกิดความสนใจมาเข้าร่วม พื้นที่ในเมืองมีการใช้งาน ผู้คนก็จะมีความผูกพันกับเมือง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกิจกรรมใดๆ ก็ตามที่มีส่วนในการพัฒนาพื้นที่
และสุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาหาปากท้องและเศรษฐกิจของเมือง อย่างที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือถ้าสวนสาธารณะมีที่นั่งที่พร้อม และมีสนามเด็กเล่นที่ใช้ได้จริง พ่อแม่ก็จะพาลูกไปเล่น ผู้ปกครองได้พักผ่อนในสวน ลูกได้เล่นสนุก อย่างน้อยๆ พ่อค้าแถวนั้นก็ได้ขายลูกชิ้นทอดและเครื่องดื่มแล้ว เห็นไหมคะ เมื่อพื้นที่พร้อม ผู้คนก็ได้ผ่อนคลาย ความคิดดีๆ ก็จะตามมา และแน่นอน กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ยังเกิดขึ้นตามมา”
ปิยวรรณ ขอจิตเมตต์
อาจารย์ประจำสาขาวิชาการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
และนักวิจัยจากโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้หาดใหญ่
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…