“เราอาจจะเฉยๆ กับสิ่งเก่าๆ ที่เราเห็นทุกวัน แต่ใครจะรู้ว่าพอคนที่อื่นมาเห็น เขาอาจเห็นคุณค่าบางอย่างที่เราไม่เคยสนใจมัน”

“ที่นี่เป็นโรงสีตั้งแต่สมัยช่วงสงครามโลก ก๋งผมเป็นคนบุกเบิกก่อนส่งต่อมาที่รุ่นพ่อ เป็นโรงสีโบราณที่ใช้แกลบให้พลังงาน และเพราะเป็นแบบนั้น พอโรงสียุคใหม่เขาใช้แก๊สกันหมด ไหนจะเรื่องปล่องควัน รวมถึงรถสิบล้อที่ใช้ขนส่งวิ่งเข้ามาในเมืองจนมีส่วนสร้างมลภาวะ ช่วงราวๆ ปี 2530 พ่อผมก็เลยตัดสินใจหยุดกิจการนี้ลง และหันมาทำขนส่ง เป็นโกดังให้เช่าแทน 

ตอนแรกผมไม่มีไอเดียจะทำอะไรกับโรงสีนี้เลย ผมเรียนมาทางสายคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมเมอร์ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ความที่ภรรยาผมเป็นคนแก่งคอย เขาก็อยากกลับมาดูแลครอบครัวที่นี่ ผมก็ตามใจ เพราะผมก็อยากกลับมาดูพ่อแม่ตัวเองด้วย จึงตัดสินใจลาออกกลับมาอยู่บ้าน

ตอนนั้นน่าจะยุคปี 40 กว่าๆ คอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย อินเทอร์เน็ทก็ยังเป็นแบบต่อสายโทรศัพท์อืดๆ ยังไม่มีกระแส work from home เหมือนทุกวันนี้ ก็คิดหนักเหมือนกันนะว่าจะกลับมาทำอะไร ช่วงแรกๆ ก็เลยทำฟรีแลนซ์ไอทีตามโรงงานต่างๆ ไปก่อน และก็ดูธุรกิจที่บ้านด้วย

จนมาราวๆ ปี 50 นี่แหละที่ผมเห็นว่าโรงสีซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านเราเนี่ยมันน่าจะเอาไปทำอย่างอื่นได้มากกว่าปิดร้างไว้ ซึ่งทำเลก็ดีด้วยเพราะอยู่ริมแม่น้ำป่าสักและอยู่ใกล้ตลาดใจกลางเมือง ก็เลยชวนคุณพ่อว่ามาทำอะไรสักอย่างเถอะ ตอนนั้นกระแสกาแฟยังไม่ฮิตเท่าทุกวันนี้ แต่ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่าร้านกาแฟอีกหน่อยจะมา เลยตัดสินใจฟื้นฟูที่นี่เป็นร้านกาแฟ ตั้งชื่อไปตรงๆ เลยว่า ‘โรงสีกาแฟ’ เปิดเมื่อปี 2554

โรงสีกาแฟได้รับเสียงตอบรับที่ดีเลยครับ อาจเพราะเมืองมันยังไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน จนทุกวันนี้ก็ยังดีใจที่มีคนบอกว่า ร้านเราเป็นเหมือนเป็นหนึ่งในห้องรับแขกของเมืองแก่งคอย หรือเป็นอีกแห่งที่ช่วยทำให้คนในเมืองมองเห็นว่าต้นทุนเดิมอย่างบ้านเก่าหรือย่านเก่าที่เราคุ้นตา สามารถนำมาฟื้นฟูให้กลายเป็นจุดเช็คอินทางการท่องเที่ยวได้

อย่างผมเจอกับตัวเลย ผมโตมาในโรงสีนี้ เห็นแผ่นสังกะสีก็รู้สึกขวางหูขวางตาอยากรื้อออก แต่นักท่องเที่ยวมาก็บอกว่าตรงนี้เท่ดี ตราชั่งข้าวเปลือกที่อยู่เดิม ผมก็เฉยๆ กับมัน ช่างภาพมาบอกว่านี่คือมุมถ่ายรูปที่สวย เหล่านี้ก็เริ่มทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเรามองในมุมคนที่อื่น มันมีคุณค่าบางอย่างที่เรามองไม่เห็นมัน จนกว่าจะมีคนมาบอกมัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในช่วงหลังๆ จะมีกระแสของการฟื้นฟูย่านเก่าตามเมืองต่างๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแก่งคอยถึงจะมีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ดีแค่ไหน แต่ด้วยสภาพเมืองมันไม่เอื้อ ที่จอดรถไม่เพียงพอ ทางเท้าไม่เอื้อต่อการเดิน เมืองร้อนเพราะไม่มีพื้นที่สีเขียวให้ร่มเงา นั่นก็ทำให้ตลาดแก่งคอยยังคงซบเซา เพราะกายภาพเมืองไม่เอื้อ นักท่องเที่ยวคิดจะมา แต่พบว่ามันช่างลำบาก เขาก็เลือกจะไปที่มันสบายกว่า

ผมจึงเห็นว่าแนวคิดเรื่อง ‘เมืองสีเขียว’ หรือ ‘เมืองเดินได้’ เนี่ย มันจำเป็นต่อเมืองที่มีข้อจำกัดแบบเรามากๆ เพราะมันไม่ใช่แค่ดึงดูดให้คนมาเยือน แต่ยังหนุนเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในเมือง พอเมืองมันเดินสะดวก แทนที่คนจะไปซื้อของตามซูเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่นอกเมือง เขาก็จะเลือกมาซื้อของในตลาดหรือในย่านเก่าเป็นหลักมากกว่า

แต่แค่เมืองเดินง่ายยังไม่พอ เมืองต้องมีที่จอดรถที่เพียงพอ อันนี้ขอวงเล็บให้มันเป็น smart parking ด้วย ใช้ IOT มาบริหารจัดการ คือเทศบาลไม่ต้องไปเช่าที่จอดรถขนาดใหญ่ที่ไหนเลย เราใช้ที่ว่างที่เรามีอยู่เต็มเมืองนี่แหละ และใช้ระบบคอยอัพเดตว่าตรงไหนมีที่ว่างบ้าง คนจากข้างนอกก็เข้าไปจอด จากนั้นก็ขึ้น EV Bus หรือระบบขนส่งสาธารณะที่คอยรับส่งผู้คนจากมุมต่างๆ เข้ามาใช้พื้นที่ในเมือง อย่างร้านผมก็มีที่จอดรถเยอะแยะ ผมก็อาจเอาที่ของผมไปเข้าระบบนี้ ให้คนมาจอดได้ เขามาจอดเสร็จ ก็รอรถสาธารณะมารับเพื่อไปซื้อของในเมือง

พอเรามีสามตัวนี้ (เมืองเดินได้, ที่จอดรถอัจฉริยะ, ระบบขนส่งมวลชน) เมืองมันจะดึงดูดให้คนมาใช้ แล้วจริงๆ แก่งคอยมันเล็กมาก แค่ 2×2 ตารางเมตรเอง ถ้ามีพื้นที่สีเขียวเยอะ เช้าๆ เย็นๆ คุณเดินเล่นได้ทั้งเมือง คนมีอายุหน่อยก็อาจนั่งรถบัสหรือรถไฟฟ้าไป เป็นต้น พอโครงสร้างพื้นฐานดี คุณทำธุรกิจอะไรในเมืองก็ขึ้น หรือคุณจะทำการท่องเที่ยว เปลี่ยนย่านเก่า เปลี่ยนตลาดท่าน้ำ หรือวัดแก่งคอยเป็นแหล่งท่องเที่ยว หรืออย่างที่พยายามทำกิจกรรมล่องเรือแม่น้ำป่าสักกันอยู่ คนก็จะมากัน

ในฐานะที่ผมเกิดแก่งคอย ผมก็เคยสงสัยว่าสมัยตอนผมเด็กๆ ที่เมืองยังไม่ทันสมัยอย่างทุกวันนี้ ทำไมย่านใจกลางเมืองถึงคึกคักและเศรษฐกิจดีจัง แล้วก็พบว่าเพราะสมัยก่อนทุกบ้านยังไม่มีรถส่วนตัว การคมนาคมหลักคือการใช้รถไฟไปต่างอำเภอหรือจังหวัด ส่วนการคมนาคมในตัวเมืองคือไม่ปั่นจักรยานก็เดินเท้าเอา เศรษฐกิจของเมืองมันจึงหมุนเวียนเพราะมีคนไปมาหาสู่กันตลอดเวลา

ไม่ได้หมายความว่า ผมอยากให้เมืองเรากลับไปล้าสมัยแบบในอดีตนะครับ แต่ถ้าเรานำวิถีสมัยนั้นอย่างการเดินเท้าหรือปั่นจักรยานมาเป็นทางเลือกหลัก ภายใต้การพัฒนาในเมืองร่มรื่นน่าเดิน มีระบบขนส่งสาธารณะที่พร้อม สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจในตลาดกลับมาดี แก่งคอยจะยังเป็นเมืองน่าอยู่ และมลภาวะที่กำลังเป็นปัญหาในเมืองก็จะลดลงตามมาด้วย”  

นพพล ธรรมวิวัฒน์
เจ้าของร้านโรงสีกาแฟ

กองบรรณาธิการ

Recent Posts

[The Insider]<br />พัชรี แซมสนธ์

“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…

3 weeks ago

[The Insider]<br />พรทิพย์ จันทร์ตระกูล

“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…

3 weeks ago

[The Insider]<br />ณรงค์ศักดิ์ เตือนสกุล

“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…

3 weeks ago

[The Insider]<br />นนทพัฒ ถปะติวงศ์

“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…

3 weeks ago

[The Citizens]<br />ชวนพิศ สุริยวงค์

“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว  ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…

3 weeks ago

[The Citizens]<br />กาญจนา ใจปา และพิทักษ์พงศ์ เชอมือ

“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…

3 weeks ago