จากเมืองสร้างสรรค์และน่าอยู่
สู่ ‘ราชบุรี เมืองแห่งการเรียนรู้’
ศาสตราจารย์ ดร. นันทนิตย์ วานิชาชีวะ
“ความที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็น อว. ส่วนหน้าของจังหวัดราชบุรี (หน่วยปฏิบัติการส่วนหน้าของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ประจำจังหวัดราชบุรี) จึงมีพันธกิจในการพัฒนาและบูรณาการงานวิจัยให้มาช่วยขับเคลื่อนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในราชบุรีอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อ บพท. จัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยในระดับพื้นที่ มหาวิทยาลัยศิลปากรจึงเห็นเป็นโอกาสดีในการทำงานร่วมกันในพื้นที่ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพอย่างจังหวัดราชบุรี
เราได้รับทุนสนับสนุนจาก บพท. มาตั้งแต่ปี 2563 ในชุดโครงการ ‘การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าราชบุรี เมืองสร้างสรรค์และน่าอยู่ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน’ โดยเราใช้โมเดลบูรณาการในรูปแบบที่ไม่ใช่ ‘ขนมชั้น’ แต่เป็น ‘ขนมเปียกปูน’ กล่าวคือไม่ใช่การทำงานแบบบนลงล่างหรือแยกเลเยอร์กัน แต่เป็นการบูรณาการศาสตร์และศิลป์จากคณะวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมา mold ด้วยกันอย่างกลมกล่อม ซึ่งเรามีทั้งนักวิจัยจากคณะโบราณคดี คณะมัณฑนศิลป์ คณะวิทยาการจัดการ และคณะวิทยาศาสตร์ สร้างแนวร่วมในการพัฒนาเมืองทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ งานออกแบบสร้างสรรค์ การจัดการท่องเที่ยว และการดูแลสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ เรายังได้แต้มต่อที่ดีจากงานวิจัยของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื่องจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ได้ทำแผนแม่บทเมืองเก่าราชบุรีไว้ก่อนแล้ว ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และเครือข่ายภาคประชาชนของเราจึงเข้มแข็ง และเมื่อประกอบกับสถานะ อว.ส่วนหน้าของเรา ก็ทำให้สามารถจัดทำ MOU กับหน่วยงานรัฐของจังหวัดราชบุรีเสร็จสรรพ การทำงานจึงคืบหน้าไปได้ด้วยดี
โดยในปี 2563 เราทำโครงการย่อย 4 เรื่อง ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาเมือง ได้แก่ หนึ่ง. ด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ผ่านการจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองเก่าราชบุรี 3 เส้นทาง โดยมีแม่งานคือคณะโบราณคดี สอง. การพัฒนาศักยภาพท่องเที่ยวด้วยการจัดทำไลน์แอปพลิเคชั่นส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างสะดวก โดยได้คณะวิทยาการจัดการมารับผิดชอบ
สาม. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากทุนวัฒนธรรม และสร้างสรรค์ต้นแบบงานศิลปะเพื่อสาธารณะ ซึ่งได้อาจารย์จากคณะมัณฑนศิลป์ นำข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมือง มาทำเวิร์คช็อปร่วมกับชาวชุมชน และร่วมกันผลิตผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นร่วมสมัย และประติมากรรมสาธารณะซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ของเมือง โดยได้ชวนชาวบ้านมาร่วมสเก็ตซ์ เรียนรู้ทำเซรามิก และประกอบกันเป็นประติมากรรมน่ารักๆ รวมถึงสตรีทอาร์ทริมแม่น้ำแม่กลอง
และสี่. การพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมผ่านการจัดการขยะของชุมชน โดยใช้โมเดลให้ชาวบ้านแยกขยะเอาไปแลกไข่ไก่ ซึ่งก็ใช้ไข่ไก่จากฟาร์มในจังหวัดมาแลก กระตุ้นให้ชาวบ้านจัดการขยะเพื่อรีไซเคิลได้ง่าย และลดขั้นตอนในการกำจัด อันส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมของเมือง
โครงการในปี 2563 ลุล่วงผ่านไปได้ด้วยดี และเมื่อ บพท. เปลี่ยนแนวทางการสนับสนุนทุนเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ในปี 2564-2565 จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเราในการต่อยอด เพราะกระบวนการที่เราทำมาก็อยู่ในกรอบของการสร้างกลไกแห่งการเรียนรู้ในระดับเมืองอยู่แล้ว โดยเราได้มอบหมายให้อาจารย์ชวลิต (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชวลิต ขาวเขียว) ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะโบราณคดี มาเป็นหัวหน้าโครงการ แล้วเราก็ถอยออกมาเป็นที่ปรึกษาโครงการ
ด้วยงบประมาณที่ลดลง โครงการเมืองแห่งการเรียนรู้จึงลดสเกลพื้นที่ลงมาอยู่ที่เมืองเก่าริมแม่น้ำแม่กลอง (ชุมชนตลาดเก่า) เมืองโบราณคูบัว และบ้านโคกพริก (เมืองโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์) โดยมีคณะที่รับผิดชอบหลัก คือคณะโบราณคดี และคณะมัณฑนศิลป์ พร้อมกับสร้างความร่วมมือกับคณะศึกษาศาสตร์อีกคณะ ในการนำงานวิจัยที่เราศึกษาเกี่ยวกับเมืองมาพัฒนาให้เป็นหลักสูตรการศึกษาบรรจุเข้าไปในระดับท้องถิ่น
ทั้งนี้ รายละเอียดของกิจกรรมในโครงการต่างๆ หัวหน้าโครงการย่อยของแต่ละโครงการน่าจะสามารถเล่ารายละเอียดได้ดีกว่า ซึ่งแต่ละทีมก็ล้วนมีการสอดประสานข้ามศาสตร์ร่วมกันอย่างลงตัว เพื่อให้เกิดเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ตามงานวิจัย แต่ยังเป็นกลไกขับเคลื่อนเมือง และแรงบันดาลใจให้หน่วยงานต่างๆ นำไปต่อยอดจนเกิดเป็นการพัฒนาเมืองอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”
ศาสตราจารย์ ดร. นันทนิตย์ วานิชาชีวะ
ที่ปรึกษาโครงการ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยศิลปากร
และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ อว. ส่วนหน้า จังหวัดราชบุรี
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…