“สิบสี่ปีที่แล้ว เราทำงานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ยุคนั้นเป็นยุคที่มีการนำเด็กๆ ในพื้นที่มาเป็นยุวมัคคุเทศก์กัน พิพิธภัณฑ์เราก็ทำกิจกรรมยุวมัคคุเทศก์อาสาเหมือนกัน โดยชวนนักเรียนจากสถานศึกษาต่างๆ ในจังหวัดมาเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองและวัตถุจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้พวกเขาสามารถนำชมพิพิธภัณฑ์ได้
ความน่าสนใจก็คือ เมื่อเราไปชวนเด็กนักเรียน ส่วนมากเขาจะถามคำแรกก่อนว่ามีใบประกาศนียบัตรไหม เพราะเขาอยากเอาไปเป็นพอร์ตโฟลิโอ ขณะเดียวกัน เมื่อประสานไปยังโรงเรียนต่างๆ คุณครูก็มักจะเลือกเด็กนักเรียนที่เก่งที่สุดหรือมีทักษะทางการสื่อสารที่ดีที่สุดมาร่วมกิจกรรม
ผลปรากฏว่า หลังจากที่เราอบรมความรู้ต่างๆ แก่เด็กๆ และมอบใบประกาศนียบัตรเสร็จเรียบร้อย เด็กๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มาเป็นยุวมัคคุเทศก์อาสาของพิพิธภัณฑ์เราเลย โดยบอกว่าต้องเรียนพิเศษในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ กิจกรรมดังกล่าวจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เหตุการณ์นี้ทำให้เราคิดว่า การศึกษาและการเรียนรู้ในบ้านเราไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เด็กนักเรียนส่วนใหญ่มองว่ากิจกรรมที่เกี่ยวกับการศึกษา มันจะช่วยทำให้เขาได้คะแนนที่เพิ่มขึ้น หรือเป็นประโยชน์กับการศึกษาต่อ ไม่จำเป็นต้องสนใจที่จะเรียนรู้เนื้อหาก็ได้ แต่ขอให้ได้ร่วมกิจกรรมเพื่อเป็นแต้มต่อทางการศึกษา
ซึ่งคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็น่าเสียดายที่เด็กๆ มีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ แต่น้อยคนที่จะได้เรียนรู้ในเนื้อหานั้นจริงๆ เพื่อนำไปต่อยอดต่อการใช้ชีวิต ขณะเดียวกัน กิจกรรมนอกห้องเรียนที่เกิดขึ้น มันจึงอยู่ในรูปแบบของการบังคับให้เข้าร่วมเพื่อผ่านเกณฑ์ หาใช่สิ่งที่เด็กๆ อยากเข้าร่วมอย่างสมัครใจ หรือเป็นสิ่งที่ออกมาจากข้างใน
ราวสองสัปดาห์ก่อน เราได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่โบราณคดี ศิลปากร โดยตอนนี้เป็นรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอัมพวา เขากำลังปลุกปั้นยุวมัคคุเทศก์ แต่คราวนี้เขาใช้วิธีการแบบโฮมสคูล ซึ่งมันตอบโจทย์กับพื้นที่อัมพวา เนื่องจากที่นั่นกำลังประสบปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กถูกยุบรวมกัน และทำให้เด็กๆ นักเรียนในครอบครัวที่ขาดทุนทรัพย์ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการเดินทาง อบต. ที่นั่นจึงใช้ครูอัตราจ้างลงพื้นที่ชุมชนต่างๆ โดยใช้ระบบโฮมสคูล
เพื่อนรุ่นพี่ท่านนั้นบอกว่าพอมาใช้ระบบนี้ การศึกษาแบบเก็บพอร์ทสะสมแต้มก็เริ่มลดลง เพราะมันลดการแข่งขันระหว่างเด็กนักเรียน ขณะเดียวกัน พอเป็นโฮมสคูล โฟกัสของการศึกษาจึงอยู่ที่การออกแบบการเรียนรู้ให้สอดรับกับความสนใจของผู้เรียน ครูกับนักเรียนคุยกันว่าแต่ละคนสนใจทำอะไร และช่วยกันออกแบบโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันในอนาคต
ซึ่งพอเป็นเช่นนี้ เด็กนักเรียนที่สนใจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือการท่องเที่ยว เขาก็จะโฟกัสกับเรื่องนี้ และพร้อมจะเรียนรู้ที่จะเป็นยุวมัคคุเทศก์จริงๆ
เพราะฉะนั้นระบบสังคม และรูปแบบการศึกษาใดๆ มันมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กมาก ทุกวันนี้ราชบุรีเรามีแหล่งเรียนรู้เยอะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง สวนพฤกษศาสตร์ หอศิลป์ และอื่นๆ เพียงแต่การเข้าไปใช้พื้นที่ของเด็กๆ มันอยู่ในรูปแบบของทัศนศึกษาที่เป็นกิจกรรมภาคบังคับของโรงเรียน ไม่ใช่การที่เด็กค้นพบความสนใจของตัวเอง และอยากไปเยี่ยมชมพื้นที่นั้นจริงๆ
เราจึงคิดว่าการสร้างบรรยากาศให้เด็กสนใจเรียนรู้ด้วยตัวเองของโรงเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันครอบครัวก็ต้องสนับสนุน คุณครูก็ต้องเป็นผู้ชักนำที่ดี เช่นคุณพานักเรียนไปวัด ไม่ใช่แค่การทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าวัดแห่งนี้สำคัญอย่างไร ทำไมต้องไป แต่เป็นการชี้ให้เด็กเห็นว่าศิลปะในวัดเป็นยังไง ประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับเมืองเป็นอย่างไร กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าในพื้นที่ เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด
เราเชื่อว่าโรงเรียนและครอบครัวไม่ควรสร้างแค่สังคมของการศึกษา แต่จำเป็นต้องสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ควบคู่กันไป สิ่งนี้จะทำให้เด็กๆ ค้นพบศักยภาพในตัวเอง และสามารถเติบโตไปในทิศทางที่ตัวเองสนใจจริงๆ ซึ่งในสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เราพูดกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าโรงเรียนไม่ขับเคลื่อน ครอบครัวไม่ผลักดัน มันก็เป็นไปไม่ได้”
ปัทมา ก่อทอง
หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…