“วัดกลาง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่ากาฬสินธุ์ และเป็นวัดประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
วัดแห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2378 ปีนี้ก็ 179 ปีแล้ว แม้ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนถึงผู้สร้าง แต่ดูจากศิลปกรรมแล้ว เข้าใจว่าช่างกลุ่มลาวเป็นคนสร้างวัดนี้ขึ้น วัดนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับเมืองหลายสิ่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทจำลองแก่งสำโรง และพระพุทธสัมฤทธิ์นิรโรคันตราย หรือหลวงพ่อองค์ดำ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกาฬสินธุ์
อาตมาไม่ทราบว่ารอยพระพุทธจำลองนี้มีอายุเท่าไหร่แล้ว แต่นักโบราณคดีเขาสันนิษฐานกันว่าสร้างตั้งแต่สมัยขอม ยุคก่อนจะมีเมืองกาฬสินธุ์ แต่เดิมมีการพบรอยพระพุทธบาทนี้อยู่ใกล้กับแก่งสำโรง ริมน้ำปาว แต่ความที่พอเวลาผ่านไป น้ำจากแม่น้ำเริ่มเซาะตลิ่ง ชาวบ้านก็กลัวว่ารอยพระพุทธบาทจะเสียหาย จึงมีการอัญเชิญมาถวายไว้ที่วัดกลาง ช่วงรัชกาลที่ 5 และมีพิธีไหว้รอยพระพุทธบาททุกวันมาฆบูชา
ส่วนพระพุทธสัมฤทธิ์นิรโรคันตราย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านช้าง ใต้ฐานพระพุทธรูปมีจารึกอักษรธรรมล้านช้าง ที่กล่าวถึงประวัติและตำนานการสร้างอยู่ โดยระบุว่าสร้างเมื่อจุลศักราช 172 หรือ พ.ศ. 1353 แต่เดิมประดิษฐานที่โบสถ์วัดนาขาม อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาพระยาชัยสุนทร (เก ณ กาฬสินธุ์) เจ้าเมืองกาฬสินธุ์คนที่ 11 ซึ่งเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย ก่อนมีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2444) ได้อัญเชิญจากวัดนาขาม มาประดิษฐานในโฮงเจ้าเมือง จากนั้นก็ย้ายมาประดิษฐานที่วัดกลาง จนถึงปัจจุบัน
ชาวกาฬสินธุ์จะรู้จักพระพุทธรูปสำคัญองค์นี้ในนาม ‘หลวงพ่อองค์ดำ’ เพราะมีสีดำ กับอีกนามหนึ่งคือ ‘หลวงพ่อซุ่มเย็น’ หรือชุ่มเย็น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะแต่ก่อนกาฬสินธุ์แห้งแล้ง แต่เมื่อชาวบ้านทำพิธีพุทธาภิเษก ฝนกลับตกต้องตามฤดูกาล ในช่วงสงกรานต์ชาวกาฬสินธุ์จึงอัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำแห่ไปรอบเมือง เพื่อให้ประชาชนทรงน้ำเป็นสิริมงคล
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อองค์ดำไม่ใช่พระประธานของวัดกลางแห่งนี้ พระพุทธปฏิมา พระประธานวัดกลางจะประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถที่อยู่ตรงข้าม ชาวอีสานจะเรียกอุโบสถว่าสิม แต่ที่นี่เป็นพระอารามหลวง จึงเรียกกันว่าพระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังรูปพระเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ โดยมีรูปที่โดดเด่นที่สุดคือรูปพระพุทธเจ้าปราบมารอยู่ตรงกลาง เข้าใจว่าจิตรกรรมนี้วาดขึ้นเมื่อเกือบ 90 ปีที่แล้ว ในช่วงที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถครั้งใหญ่
และวัดแห่งนี้มีการบูรณะครั้งสำคัญอีกครั้งในช่วงที่พระธรรมวงศาจารย์ (สุข สุขโณ) เจ้าอาวาสรูปก่อน จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ซึ่งไม่เพียงพัฒนาวัดทางด้านวัตถุ ศิลปกรรม และวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ เจ้าอาวาสท่านยังให้ความสำคัญกับการศึกษา และเปิดพื้นที่ให้ชาวกาฬสินธุ์ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อแก้ปัญหาด้านสังคมต่างๆ ด้วย
หลวงพี่มองว่ากาฬสินธุ์ก็เหมือนอีกหลายๆ จังหวัดในภาคอีสานที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ นั่นทำให้เมื่อชาวบ้านมีเรื่องขัดแย้งอะไร หรือต้องการความร่วมแรงร่วมใจอะไร พวกเขาก็จะใช้วัดประจำชุมชน หรือวัดประจำเมืองเป็นพื้นที่กลางในการปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหา
จนถึงทุกวันนี้ที่เทคโนโลยีรุดหน้าไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ บทบาทของวัดกลางก็ยังคงเป็นศูนย์กลางทางจิตใจของชาวเมืองกาฬสินธุ์อยู่ดี ใครไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็มาไหว้หลวงพ่อองค์ดำเพื่อขอพรกลับไป คนอีสานจากจังหวัดอื่นๆ พอผ่านมากาฬสินธุ์ ก็จะแวะมาสักการะพระองค์ท่าน เพราะไม่เพียงเป็นพระคู่เมืองที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าจะช่วยให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าสมบูรณ์อยู่เสมอ แต่ในเรื่องส่วนตัว หลายคนก็เชื่อว่าพอมาไหว้ท่าน แล้วเหมือนจะได้คลายทุกข์ มาไหว้หลวงพ่อชุ่มเย็น แล้วจะได้ชุ่มฉ่ำใจ”
พระมหาทวี สิริวฑ.ฒโน
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกลาง (พระอารามหลวง) จังหวัดกาฬสินธุ์
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…