Categories: City View

ไลเร่: ดินแดนแห่งความหวัง

ไลเร่: ดินแดนแห่งตำนาน (Lejre: Land of Legends) เป็นชื่อพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาด 106 เอเคอร์ (ประมาณ 265 ไร่) ซึ่งอยู่ห่างจากโคเปนเฮเกนเมืองหลวงของเดนมาร์กเพียง 47 กิโลเมตร

ไลเร่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507 แบ่งออกเป็นเขตห้องปฏิบัติการช่างฝีมือ (ทอผ้า ปั้นหม้อและตีเหล็ก) เขตการตั้งแค้มป์ยุคหิน (5400-3900 ปีก่อน ค.ศ.) หมู่บ้านยุคเหล็ก (200 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 200) ตลาดสมัยไวกิ้ง (ค.ศ. 800-ค.ศ. 1050) และฟาร์มศตวรรษที่ 19 การออกแบบและก่อสร้างทุกอย่างที่นี่อาศัยการค้นพบทางโบราณคดีอย่างจริงจังสมกับที่ชื่อทางการของไลเร่คือศูนย์สำหรับการวิจัยและเผยแพร่ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ (Centre for Historical-Archaeological Research and Communication) ทุกเขตจึงสร้างขึ้นโดยการรวบรวมหลักฐานทางโบราณคดี เอกสารประวัติศาสตร์ ความรู้ทางเทคนิควิทยาในอดีตและบางส่วนก็จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการในการต่อยอดหลักฐานที่ได้พบ หน้าที่หลักด้านหนึ่งของไลเร่ได้แก่การส่งเสริมการค้นคว้าทดลองทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ แต่ละปี ที่นี่จะมีทุนให้ประมาณ 1 ล้านบาท ไลเร่จึงมีนักวิจัยจากทั่วโลกที่สนใจโบราณคดีภาคทดลอง (experimental archaeology) ทั้งด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติวิทยาและเทคนิควิทยามาร่วมมือกันทำวิจัยหัวข้อต่างๆ แบบสหวิทยาการตลอดเวลา แต่ไลเร่ไม่ได้สนใจแค่การค้นคว้าทดลองเท่านั้น

หน้าที่หลักอีกด้านของไลเร่คือการเผยแพร่ความรู้และผลการศึกษาทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์สู่สาธารณชน วิธีการที่เขาเลือกใช้ในการถ่ายทอดผลงานวิจัยนี่เองที่ทำให้ฉันตื่นเต้นอยากเห็นที่นี่มากทั้งที่ความจริง ฉันก็เคยไปพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งมาแล้วหลายแห่งในหลายประเทศ

แต่ไลเร่ไม่เหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งอื่นที่ฉันเคยไปมา เหตุที่ฉันตื่นเต้นกับที่นี่และพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งบางแห่งของเดนมาร์กจนออกปากว่าถ้าฉันมีลูก ก็อยากให้ลูกโตในเดนมาร์กก็เพราะที่นี่เป็นประเทศเดียวที่ฉันเคยไปมาที่เปิด โอกาสและสนับสนุนให้เด็กได้มาใช้ชีวิตอยู่ในพิพิธภัณฑ์พร้อมครอบครัวหรือเพื่อนนักเรียนเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตในอดีตโดยสวมบทเป็นเด็กที่เกิดในสมัยนั้นดำรงชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนเด็กในยุคนั้นจริงๆ ทุกฤดูร้อน ไลเร่จะเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถสมัครมาใช้ชีวิตเป็น “ครอบครัว” ในยุคหิน ยุคเหล็กและฟาร์มศตวรรษที่ 19 ได้ครอบครัวละ 1 สัปดาห์ โดยส่งเสริมให้มาพร้อมหน้ากันทั้ง 3 รุ่นคือปู่ยาตายาย พ่อแม่และลูก (ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เหมือนผู้คนสมัยก่อนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันหลายรุ่น) พวกเขาจะต้องใช้อุปกรณ์และสวมใส่เสื้อผ้าที่ห้องปฏิบัติการช่างฝีมือเป็นผู้ผลิตด้วยกรรมวิธีและวัสดุที่ใช้กันในยุคนั้น จะมีคนมาแนะนำวิธีทำอาหารด้วยตำรับและเครื่องปรุงที่มีอยู่ในแต่ละยุคโดยทางพิพิธภัณฑ์จะจัดเตรียมเครื่องปรุงพื้นฐานต่างๆ ให้

แต่ทางครอบครัวสามารถไปหาเก็บพืชผักหรือผลไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ในบริเวณรอบๆ มาเสริมได้ นอกจากนั้น

แต่ละครอบครัวยังต้องร่วมมือกับครอบครัวอื่นๆ ที่เลือกมาใช้ชีวิตในยุคเดียวกันในการทำกิจกรรมบางอย่างเช่นเดียวกับคนในยุคนั้นจริงๆ รวมทั้งต้องช่วยเผยแพร่ความรู้โดยการตอบคำถามให้กับผู้เข้าชมอื่นๆ ด้วย

สำหรับคนที่มาเที่ยวที่นี่เพียงวันเดียว ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดเขตที่เรียกว่าหุบเขาไฟ (The Fire Valley) ไว้ให้เป็นเขตทดลองปฏิบัติการทางโบราณคดี เช่น อาจลองก่อไฟโดยการปั่นไม้หรือใช้หินเหล็กไฟช่วยสร้างเรือขุดจากต้นไม้ทั้งต้น ลากหินหนัก 500 กิโลกรัม ตัดฟืนด้วยขวานสมัยยุคเหล็ก โม่แป้งด้วยโม่หินโบราณหรือแม้แต่ทำขนมปังกรอบด้วยตำรับของยุคเหล็กเมื่อ 2 พันกว่าปีที่แล้ว โดยทางพิพิธภัณฑ์จะจัดเตรียมเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ไว้ให้โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม

หลักการอย่างหนึ่งของไลเร่ที่ฉันเห็นด้วยหมดหัวใจก็คือเขาพยายามปลูกฝังให้เด็กรู้จักเคารพสิ่งที่ไม่คุ้นเคย พวกเรามักมีแนวโน้มที่จะมองอดีตว่าล้าสมัยไม่เจริญ ไลเร่หวังว่าการได้ใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมและได้รู้เห็นฝีมือการประดิษฐ์ข้าวของต่างๆ ของผู้คนในอดีตจะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะชื่นชมภูมิปัญญาของคนโบราณและเลิกคิดดูถูกวิถีชีวิตที่พวกเขาไม่คุ้นเคย นอกจากนั้น ไลเร่ยังหวังจะปลูกฝังทัศนคติให้กับเด็กๆ ว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่การเรียนรู้ “ความจริง” เกี่ยวกับอดีต พวกเขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการ “ตีความ” ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตมากกว่าการค้นหาสัจธรรมที่เป็นคำตอบสุดท้าย

“ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องราวที่อยู่ไกลตัวและหยุดนิ่งแต่เป็นอะไรที่ยังดำรงอยู่และเกี่ยวเนื่องกับปัจจุบัน อีกทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” พวกเขาจึงค้นคว้าศึกษาและตีความอดีตเพื่อทำความเข้าใจกับปัจจุบันเพื่อเป็นรากฐานของการสร้างความคาดหวังในอนาคต

เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ฉันรอคอยการได้ไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือฉันเชื่อว่านี่เป็นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง และเมื่อได้ไปพิพิธภัณฑ์ทำนองนี้ที่เดนมาร์กมา 2 แห่ง ก็ไม่ได้ผิดหวังเลย ชอบมากและอิจฉาเด็กๆ ที่นั่นที่มีโอกาสเรียนรู้ประวัติศาสตร์สังคมโดยผ่านการใช้ชีวิตซึ่งฉันเชื่อว่าเขาจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ แถมยังจดจำไปได้นานเพราะสนุกกับการเรียนประวัติศาสตร์แบบที่ “เน้นประสบการณ์เป็นหัวใจสำคัญ” ซึ่งเป็นแนวทางการสื่อสารความรู้ทางวิชาการที่ไลเร่วางไว้

ฉันเห็นด้วยกับวิธีคิดของเขาที่ว่าการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์แบบที่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่นนี้สามารถช่วยให้เด็กที่เรียนอ่อนประสบความสำเร็จได้โดยช่วยกระตุ้นและดึงความสามารถทางกายภาพ ความแคล่วคล่องว่องไวและศักยภาพในทางสร้างสรรค์ของพวกเขาออกมา ซึ่งเป็นความสามารถที่ปกติจะไม่มีโอกาสได้ใช้ในการเรียนด้วยตำราในห้องเรียนสักเท่าไร

ที่ฉันประทับใจอีกอย่างในการไปชมไลเร่ก็คือทัศนคติของคนที่ทำงานที่นั่น เมื่อฉันบอกสาวในกระท่อมยุคเหล็กว่าฉันอิจฉาเด็กเดนมาร์กจัง เขาตอบฉันว่า “ฉันก็เหมือนกันและนั่นคือเหตุที่ทำให้ฉันภูมิใจกับงานของฉันมาก” ไลเร่จึงไม่ใช่ดินแดนแห่งตำนานสำหรับฉัน แต่เป็นตัวอย่างของดินแดนแห่งความหวังท่ามกลางกระแสข่าวการตกต่ำของคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอย่างน่าใจหายในทุกวันนี้

อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย

Recent Posts

WeCitizens : เมืองเชียงราย

ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…

2 weeks ago

[City’s Movement]<br />บวรนคร

คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…

2 weeks ago

[The Citizens]<br />วาที ทรัพย์สิน

สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…

2 weeks ago

[The Citizens]<br />รัชฎาพร นรนวล

เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…

2 weeks ago

[The Citizens]<br />อัญชลี หนูรักษ์

การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…

2 weeks ago

[The Insider]<br />พัชรากร ขุนทอง

แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…

2 weeks ago