“เมืองปากเกร็ดมีความเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม ซึ่งนอกจากวัฒนธรรมเก่าที่คนโหยหาและมีราคา เรายังมองเห็นประสบการณ์บางอย่างที่คนรุ่นเก่ามีอยู่ และดูมีประโยชน์กับกลุ่มคนใหม่ ๆ โดยต้องหาวิธีจัดการองค์ความรู้นั้นมาใช้ให้ได้ เราจะพาวิธีคิดแบบพิเศษของคนกลุ่มนั้นมาสู่ Digital Workflow ได้อย่างไร ในแบบที่คนรุ่นหลังจะนำไปใช้งานต่อยาว ๆอย่างแรกไปดูก่อนว่าใครเชี่ยวชาญในด้านอะไร แล้วถอดมาเป็น Knowledge Management (การจัดการความรู้ - ผู้เรียบเรียง) แล้วนำไปส่งต่อให้เมือง อย่างเมื่อปี…
“ในปี 2554 ปากเกร็ดเป็นที่รู้จักของคนในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากผลงานการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ความที่ทีมผู้บริหารท้องถิ่นล้วนแล้วแต่เติบโตมากับชาวบ้าน ทำให้รอบรู้ถึงบริบทของเมืองและลักษณะพื้นฐานของประชากร เมื่อเรารู้จักพื้นที่ รู้เขา รู้เรา และทุ่มเททำงานอย่างไม่หยุดโดยไม่เกี่ยงตำแหน่งงาน เราจึงสามารถรับมือกับวิกฤตครั้งนั้นได้หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ เหมือนเราก็มีโมเดลในการป้องกันน้ำท่วมแล้ว เราก็พยายามพัฒนามาเรื่อย ๆ ว่า จะทำยังไงให้เราเป็นองค์กรต้นแบบ เป็นเมืองปลอดภัย ไม่ว่าจะเรื่องน้ำท่วมหรือปัญหาสาธารณูปโภคใต้ดิน ซึ่งโครงการวิจัยนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอีกอย่างที่ทำให้เมืองของเราเป็นเมืองน่าอยู่ เพราะการทำงานของเทศบาลฯ…
ก่อนที่ปากเกร็ดจะได้รับการเปลี่ยนแปลงยกฐานะจากสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตำบลในปี 2535 วิชัย บรรดาศักดิ์ ชาวปากเกร็ดโดยกำเนิด เคยทำงานในฐานะผู้ใหญ่บ้าน และกำนันตำบลบ้านใหม่ มาก่อนแล้วกว่า 10 ปี และเมื่อเขาได้รับเลือกดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองปากเกร็ด (ในสมัยนั้น) ประสบการณ์จากการทำงานกับชุมชน ทำให้วิชัยไม่เพียงเข้าใจปัญหาเชิงลึกของท้องถิ่น แต่ตระหนักดีว่า การทำงานพัฒนาเมือง หาใช่การตั้งรับเพื่อรอแก้ปัญหา แต่เป็นการทำงานเชิงรุก เพื่อยับยั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหา แนวทางการทำงานเช่นนี้ยังปรากฏในแทบทุกมิติของเมือง…
“เอ็งกอคือ 108 วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน สมัยราชวงศ์ซ่ง เหล่าขุนนางฉ้อฉล ประชาชนประสบความทุกข์ยาก อดีตนักโทษ 108 คนจึงวางแผนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ ความที่พวกเขาเคยเป็นนักโทษซึ่งถูกตีตราบนใบหน้า จึงต้องวาดรูปบนหน้าเพื่ออำพราง นี่คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหล่าวีรบุรุษที่เสียสละตนเองเพื่อผดุงความยุติธรรม ก่อนที่คนจีนในยุคหลังได้ดัดแปลงเรื่องราวดังกล่าวเป็นศิลปวัฒนธรรม เพื่อใช้เฉลิมฉลองในงานตรุษจีน หรืองานสำคัญอื่น ๆ เล่ากันว่าเอ็งกอเข้ามาเมืองไทยจากกลุ่มคนแต้จิ๋วจากเมืองซัวเถา กลุ่มหนึ่งนั่งเรือสำเภาสีแดงไปเทียบท่าที่นครสวรรค์ อีกกลุ่มนั่งเรือสีเขียวมาเทียบท่าที่ชลบุรี หลังจากตั้งรกรากในดินแดนใหม่ได้สำเร็จ…
“พนัสนิคมยังรองรับแค่กับคนวัยทำงานที่ทำงานในระบบราชการหรือไม่ก็ผู้ประกอบการ แต่สำหรับคนทำงานออฟฟิศ พวกเขาก็ต้องไปหางานทำในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่รอบ ๆ อยู่ดี” “ตั้งแต่เรียนจบ ผมกับแฟนก็รู้ตัวว่าเราไม่ชอบทำงานประจำ เลยเลือกที่จะกลับมาหาอะไรทำที่บ้าน ตอนแรกก็ทำข้าวกล่องขาย แล้วก็เห็นช่องทางว่าพนัสนิคมยังไม่ค่อยมีร้านกาแฟแบบที่คนรุ่นใหม่ดื่มกันเท่าไหร่ ผมกับแฟนเรียนจบจาก ม.บูรพา ซึ่งอยู่ห่างจากนี่แค่ 20 กิโลเมตรเอง ที่นั่นมีร้านกาแฟให้เลือกนับไม่ถ้วน แต่พอกลับมาพนัสนิคม เรากลับไม่มีทางเลือกนัก เพราะผู้คนในเมืองยังติดรสชาติของกาแฟรสเข้ม ๆ…
“ความน่าอยู่ของพนัสนิคมคือโอกาสที่จะส่งเสริมให้เมืองเป็นบ้านหลังที่สองให้คนทำงานในเมืองมาพักผ่อนหรือมาใช้ชีวิตได้”“พนัสนิคมเป็นเมืองปิด ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว และไม่ใช่เมืองผ่าน คุณจะไปพัทยาก็ไม่ต้องผ่านพนัสนิคม จะไปฉะเชิงเทราก็ไม่ต้องผ่านเรา อันนี้คือโจทย์สำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้จะทำงานอะไรในบ้านเกิดของพวกเขา สิ่งนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดมาหลายสิบปีแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัยหรือถึงวัยทำงานเลยเลือกย้ายไปที่อื่น ทำงานจนเกษียณก็ค่อยกลับมาอยู่พนัสฯ เมืองจึงเต็มไปด้วยคนชรากับเด็ก พอมันเป็นแบบนั้น เมืองจึงไม่มีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เท่าไหร่ จริงอยู่ที่พอช่วงหลังโควิด เราเห็นแนวโน้มของคนรุ่นใหม่กลับมาทำธุรกิจที่เมืองเรามากขึ้น และเห็นว่าคนพนัสฯ เองก็เริ่มเปิดใจในการจับจ่ายใช้สอยกับธุรกิจใหม่ ๆ มากขึ้น แต่เหมือนเมืองยังขาดพื้นที่ที่สร้างเครือข่ายให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้เข้าถึงโอกาส…
จักสาน อาหารถิ่น ดินแดนเอ็งกอ ทุนวัฒนธรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “เครื่องจักสาน” “อาหารท้องถิ่น” “เอ็งกอ” และ “ผู้คน” ร่วมสำรวจต้นทุนทางศิลปวัฒนธรรมที่ช่วยเติมเต็มความสมาร์ทให้กับเมืองน่าอยู่ เมืองจักสาน กับการเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานชาวพนัสฯ จากเมืองที่สันนิษฐานกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองพระรถเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน พนัสนิคมได้รับการสถาปนาเป็นเมืองชั้นจัตวาเมื่อปี 2371 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยท้าวทุม…
“ก่อนการเข้ามาของนิคมอุตสาหกรรม พนัสนิคมก็เป็นเมืองเกษตรกรรมเหมือนเมืองอื่น ๆ ละแวกนี้ แตกต่างก็ตรงคนพนัสฯ มีฝีมือในด้านงานหัตถกรรม สมัยก่อนเขาจะปลูกต้นไผ่ไว้หัวไร่ปลายนา แล้วก็ตัดไผ่มาเป็นเครื่องมือ เป็นข้อง ไซ สุ่ม ไว้จับสัตว์น้ำหากิน หรือทำเป็นภาชนะใช้งาน ตั้งแต่เกิดมา ฉันก็เห็นคนพนัสฯ เขาทำเครื่องจักสานใช้เองแล้ว ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้มองว่ามันจะเป็นสินค้าแต่อย่างใด กระทั่งแม่ฉันเริ่มเอาเครื่องจักสานพวกนี้ลองไปวางขายที่ตลาดนัดตรงสนามหลวงนั่นล่ะ ปรากฏว่าขายดีมาก แม่กลับมาก็เลยเปิดรับซื้อเครื่องจักสานของชาวบ้านไปขาย…
“หลังจากทำงานเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ที่กรุงเทพฯ ได้สิบกว่าปี มันก็ถึงจุดจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงความไม่ยั่งยืน จริงอยู่ รายการที่ผมทำค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่งานในวงการบันเทิงเนี่ยมันมีวาระของมัน ประกอบกับตอนนั้นแม่ก็เริ่มมีอายุมากขึ้นแล้ว แต่แกก็ยังคงเปิดร้าน ไม่ยอมหยุดทำงานสักที ผมจึงคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้เขารู้สึกวางใจที่เห็นว่าเรามีความมั่นคง ความคิดเรื่องการทำธุรกิจที่พักก็เริ่มขึ้นแต่ก่อน ผมไม่เคยมองว่าพนัสนิคมจะเป็นเมืองท่องเที่ยวเลย แต่มองอีกมุม พนัสนิคมก็ไม่เคยมีที่พักที่สามารถรับรองแขกผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ ถ้าใครมาแต่งงานที่พนัสนิคม แขกงานแต่งเขาอาจต้องไปนอนชลบุรีแล้วขับรถมา จากเดิมที่คิดว่าเราจะปลูกบ้านสักหลังไว้อยู่เองตอนกลับมาเยี่ยมแม่ จึงแบ่งพื้นที่ทำเป็นที่พักแบบบูติกโฮเทลไปด้วยนั่นล่ะ พอคิดจะทำโรงแรมจริงจัง คำถามก็คือแล้วถ้าแขกที่มาพักถามเราว่าพนัสนิคมมีที่เที่ยวอะไร…
“ผมเป็นคนพนัสนิคม ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นนักผังเมืองในเทศบาลเมืองที่เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จริงอยู่ที่พอทำงานในเมืองใหญ่ ตำแหน่งรับผิดชอบต่าง ๆ ของหน่วยบริหารราชการจึงค่อนข้างจะครอบคลุม แต่การพัฒนาเมืองกลับไม่ได้ถูกนำโดยผู้คนท้องถิ่น มันถูกขีดมาจากระบบใหญ่จากบนลงล่าง และทิศทางการออกแบบเมืองมันจึงถูกกำหนดโดยผู้ประกอบการ ชาวบ้านหลายคนอาจได้รับผลกระทบจากการพัฒนา ซึ่งพวกเขาทำอะไรไม่ได้มาก ข้อดีของการอยู่เมืองเล็ก ๆ อย่างพนัสนิคม คือการที่ไม่เพียงชาวบ้านทุกคนเข้าถึงทรัพยากรของเมือง แต่พวกเขายังมีโอกาสกำหนดทิศทางของเมืองที่เขาอยากให้เป็นในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้มันตอบสนองกับแนวคิดการพัฒนาเมืองแบบล่างขึ้นบนอย่างที่ผมสนใจ ขณะเดียวกัน การที่นายกฯ วิจัยท่านอยู่ในสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย…