/

การบูรณะสวนน้ำปิงถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อการบูรณะพื้นที่รกร้างแห่งอื่นๆ ให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดของคนเชียงใหม่

Start
362 views
14 mins read

“แม้เชียงใหม่จะมีคูเมืองที่เป็นเหมือนสวนหย่อมใจกลางเมือง และมีดอยสุเทพเป็นฉากหลัง แต่ข้อเท็จจริงคือ คนในเมืองกลับมีพื้นที่สีเขียวน้อยมาก โดยเมื่อเทียบขนาดพื้นที่กับประชากรโดยเฉลี่ย เราจะมีพื้นที่สีเขียวราว 6 ตารางเมตรต่อคน ต่ำกว่าค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ที่ 9 ตารางเมตร นี่ยังไม่นับรวมประชากรแฝง เช่น นักเรียน นักศึกษา หรือแรงงานอื่นๆ ที่ประมาณ 5 แสนคน ถ้านับรวมจำนวนนี้เข้าไป คนที่อาศัยในเชียงใหม่จะมีพื้นที่สีเขียวต่อคนอยู่ที่แค่ 1.8 ตารางเมตรเท่านั้น ต่ำกว่ามาตรฐานหนักเข้าไปอีก

นอกจากเรื่องการขาดแคลนพื้นที่สีเขียว ในเวทีสาธารณะของกลุ่มเชียงใหม่ฮอม ที่เปิดให้คนเชียงใหม่มาร่วมแบ่งปันข้อเสนอในการพัฒนาเมืองบริเวณข่วงประตูท่าแพ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เรายังพบเสียงสะท้อนของปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญอีก 3 ประการ ได้แก่ ฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งมันไม่ใช่แค่มาจากการเผาป่า แต่ยังเกิดจากรถยนต์และวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในเมือง ปัญหาเกาะความร้อนในเมือง หรือการที่เมืองมีอุณหภูมิสูงขึ้นต่อเนื่อง และปัญหาสำคัญอีกข้อคือ ความมั่นคงทางอาหาร อันนี้เป็นผลสืบเนื่องจากโควิด-19 ที่กลุ่มคนจนเมืองต้องเผชิญหนักที่สุด และก็เช่นปัญหาขาดแคลนพื้นที่สีเขียว แม้เราจะมีพื้นที่เกษตรรอบเชียงใหม่มากมาย แต่ผู้คนที่ยากจนในเมือง กลับไม่สามารถเข้าถึงอาหารการกินที่ดีในราคาย่อมเยาได้

เราพบว่าปัญหา 4 ข้อนี้ล้วนเชื่อมโยงกันหมด นั่นคือเมืองไม่มีพื้นที่ให้หายใจ ต้นไม้ใหญ่ที่ใช้ฟอกอากาศมีน้อย อาคารสูงขึ้นหนาแน่น ประกอบกับภูมิศาสตร์แอ่งกระทะอีก มลภาวะและความร้อนจึงไม่ถูกระบายเท่าที่ควร ขณะเดียวกันเมื่อเรามีพื้นที่สวนน้อย ยังส่งผลให้เราขาดแคลนพื้นที่สวนครัวซึ่งเป็นต้นทุนทางอาหารที่ถูกที่สุดในเมืองด้วย

พอเราได้มีโอกาสทำโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ จึงเห็นช่องทางในการสร้างพื้นที่ของการเรียนรู้ ไปพร้อมกับเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื้อรังของเมืองไปพร้อมกัน พูดเหมือนเป็นการทำพื้นที่สีเขียวใหม่ใหญ่โต แต่เปล่าเลยครับ เอาจริงๆ เรามีสวนสาธารณะหรือพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างในเขตเทศบาลรอให้มีการปรับปรุงฟื้นฟูเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือสวนน้ำปิง ซึ่งตั้งอยู่เยื้องกาดต้นลำไย ริมแม่น้ำปิง โดยที่ผ่านมามีภาคประชาสังคม กว่า 10 ภาคีร่วมรณรงค์และขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูสวนแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในที่สุดเทศบาลนครเชียงใหม่ ก็เห็นด้วย และรับเป็นแม่งานในการก่อสร้าง โดยมีใจบ้านสตูดิโอและสตูดิโอ A49 เชียงใหม่ ร่วมออกแบบ

กล่าวได้ว่าพื้นที่ที่กำลังจะกลายเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ของเมืองแห่งนี้ เกิดขึ้นจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมันเริ่มมาจากกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องต่อรัฐ และเมื่อรัฐอนุมัติ ก็มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดทิศทางของสวน ขณะเดียวกัน ภายหลังที่เทศบาลประกาศแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาสวนน้ำปิง ที่มาจากตัวแทนประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ 23 คน ทางทีม Learning City ของเราก็เข้าไปร่วมออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้คณะทำงานของเรา รวมถึงชาวชุมชนบางส่วน ได้ล่องเรือสำรวจระบบนิเวศริมแม่น้ำปิง รวมถึงทำกิจกรรมชักชวนผู้ที่สนใจมาพายเรือคายัคในแม่น้ำ และฟังวิทยากรเล่าถึงความสำคัญของระบบนิเวศและประวัติศาสตร์ของแม่น้ำปิง

เพราะเราเชื่อว่าการเรียนรู้นี้ ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจแก่คนในพื้นที่ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการออกแบบและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในสวนน้ำปิง แต่มันยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่หลายคนมองข้ามของแม่น้ำสายที่กล่าวได้ว่าเป็นเส้นเลือดของเมืองเชียงใหม่สายนี้ ความตระหนักรู้จะนำไปสู่ความเข้าใจและนำมาซึ่งจิตสำนึกของความหวงแหนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

จริงอยู่ที่การทำสวนสาธารณะแห่งเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมนานัปการที่ผมเกริ่นไว้ได้ ดังนั้น การที่ชาวเชียงใหม่ร่วมแรงร่วมใจผลักดันให้เกิดสวนแห่งนี้ ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อการบูรณะพื้นที่รกร้างแห่งอื่นๆ ให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดของคนเชียงใหม่ รวมไปถึงอาจเป็นสวนครัวสำหรับทุกๆ คนช่วยลดปัญหาความมั่นคงทางอาหารของผู้คนในอนาคต

นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอีกประการก็คือ เรายังได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่การออกแบบพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นโมเดลของการออกแบบสิ่งปลูกสร้างอะไรก็ตามแต่ในเมืองของเรา ให้สอดรับกับบริบทของวิถีชีวิตของผู้คนและระบบนิเวศ ช่วยบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองเมืองนี้ ไม่ให้หนักเกินกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

///

นิเวศน์ พูนสุขเจริญ

ผู้เชี่ยวชาญโครงการจัดตั้งศูนย์ล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

#WeCitizensTh #LearningCity #ChiangMai

กองบรรณาธิการ

ในปีพ.ศ.2563-2564 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาเมืองในประเทศไทยเพื่อพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) โดยเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้วทั้งหมด 18 เมือง 20 ชุดโครงการ และ 41 ชุดโครงการย่อย