ในพื้นที่เทคโนธานี บนถนนเลียบคลองห้า ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อันเป็นที่ตั้งขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) อาจเปรียบได้เป็นจัตุรัสพิพิธภัณฑ์ในแง่ที่ว่าประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์หลายแห่งภายในอาณาบริเวณเดียวกันที่เดินถึงกันได้ชนิดเข้าพิพิธภัณฑ์นี้ออกพิพิธภัณฑ์นั้นจนเผลอแป๊บเดียวหมดวัน โดยพิพิธภัณฑ์ของอพวช. ซึ่งเปิดให้เยี่ยมชมที่เทคโนธานีนั้น คือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา, พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า โดยมีจัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. ในใจกลางกรุงเทพฯ ที่เดอะ สตรีท รัชดา และภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ และโคราช เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ครอบคลุมหลายพื้นที่ สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสนุกกับการค้นพบความมหัศจรรย์ของวิทยาศาสตร์ และเรียนรู้ตลอดชีวิตในด้านมนุษย์ ธรรมชาติ และศิลปะวิทยาการ
อาคารพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นั้นโดดเด่นมาก เรียกกันว่า “ตึกลูกเต๋า” โดยเฉลิมชัย ห่อนาค รองผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยในขณะนั้น (โครงการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์จัดตั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในปี พ.ศ. 2535 เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2543) เป็นหัวหน้าคณะออกแบบ ได้สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ของรูปทรงอาคารเชิงเรขาคณิตมาใช้ในงานสถาปัตยกรรม และโครงสร้างทางวิศวกรรม โดยนำมุมแหลมของรูปทรงลูกบาศก์มาเป็นฐาน ใช้ลูกบาศก์ 3 ลูก พิงกันอย่างมีเสถียรภาพ มีฐานรับน้ำหนักเพียง 3 จุดๆ ละ 4,200 ตัน โครงสร้างอาคารเป็นโครงเหล็กป้องกันสนิม ผนังอาคารเป็นแผ่นเหล็กเคลือบผิวด้วยเซรามิก มีคุณสมบัติคงทนถาวร ไม่ต้องทาสีตลอดอายุการใช้งาน เป็นฉนวนป้องกันความร้อนซึ่งช่วยประหยัดพลังงานในการควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารซึ่งสูงประมาณ 45 เมตร
ภายในอาคาร 6 ชั้นของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ จัดแสดงนิทรรศการตั้งแต่ประวัตินักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิก นิทรรศการไฟฟ้า อาคารจำลองพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์รูปทรงลูกบาศก์ 3 ลูก โรงภาพยนตร์ดาราศาสตร์ มีฐานให้ผู้ชมได้ทดลองทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เดินเข้าอุโมงค์พลังงาน โรงภาพยนตร์พลังงาน 4 มิติ สำรวจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย เรียนรู้เรื่องสภาพภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโลก เทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ได้เห็นหุ่นยนต์ นวัตกรรมทางการเดินทาง สาธารณสุข และเทคโนโลยีนาโน ซึ่งต้องบอกว่าจัดแสดงได้น่าสนใจ ไม่ยากต่อความเข้าใจนัก ระบบอินเทอร์แอ็กทิฟกระตุ้นให้ผู้ชมมีปฏิสัมพันธ์ ทดลอง เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ส่วนอาคาร 2 ชั้นใกล้กันคือพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา นำเสนอเรื่องการกำเนิดโลก การกำเนิดสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางชีวภาพ ที่บอกเล่าจุดเริ่มต้นนับแต่การระเบิดครั้งใหญ่ในเอกภพ สู่กำเนิดสรรพสิ่งในเวลาต่อมา ภาพสื่อผสมของบิ๊กแบง ปรากฏการณ์สู่การกำเนิดเอกภพ ระบบสุริยะ และโลก เรียนรู้คุณสมบัติ 9 ประการที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องมี เดินทางผ่านอุโมงค์แห่งกาลเวลา สู่วิวัฒนาการของโลกและสิ่งมีชีวิตตลอดหลายพันล้านปี ที่ในท้ายที่สุดแบ่งได้เป็น 5 อาณาจักรใหญ่แห่งโลกสิ่งมีชีวิต คืออาณาจักรแบคทีเรีย อาณาจักรโปรติสตา อาณาจักรเห็ดรา อาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรพืช โดยมีไฮไลต์การชมอยู่ที่อุทยานโลกล้านปี และห้องแสดงเขาสัตว์ นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล ผู้บุกเบิกการอนุรักษ์สัตว์ป่าของไทย จัดแสดงเขาสัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์จากไทยและต่างประเทศกว่า 30 ชนิด โดยเฉพาะเขากูปรี เขาควายป่า และเขาสมัน สัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีเขาสวยงาม ขนาดเล็กกว่ากวางป่า มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเท่านั้น และเคยพบอาศัยชุกชุมในพื้นที่ทุ่งหลวงรังสิต
เมื่อโลกปัจจุบันคือสังคมดิจิทัล พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอความรู้ ประโยชน์ ความสำคัญของเทคโนโลยีการสื่อสาร และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเหมาะสม โดยเล่าเรื่องวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคปัจจุบัน ได้เห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศอันเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยผลักดันให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นแห่งการสื่อสารที่มนุษย์พยายามคิดหาวิธีการ เครื่องมือต่างๆ มาใช้สื่อสาร โดยไม่อาจรู้ได้ว่า สิ่งที่คิดค้น กลายเป็นก้าวแรกสู่เทคโนโลยีสารสนเทศที่เปลี่ยนโลกไปแบบก้าวกระโดด มาถึงการสื่อสารยุคอิเล็กทรอนิกส์ ที่เกิดขึ้นหลังการค้นพบไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้พัฒนาอุปกรณ์สื่อสารให้มีคุณภาพมากขึ้นทั้งภาพและเสียง ได้เห็นโทรศัพท์ยุคแรกๆ ที่ต้องใช้มือหมุนตัวเลข เรียนรู้การทำงานของภาพ เสียง สีให้มาปรากฏในจอโทรทัศน์ ระบบการคำนวณที่ทำให้มนุษย์คาดการณ์เหตุในอนาคต เช่น ภัยพิบัติ การเคลื่อนที่ของวัตถุในอวกาศ และศาสตร์การคำนวณที่ก่อเกิดประดิษฐกรรมเปลี่ยนโลกที่ชื่อว่า “คอมพิวเตอร์” ซึ่งก็จะได้เห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ ที่ใช้ระบบคำนวณแบบแรงมนุษย์สู่ระบบอัตโนมัติ สุดท้ายคือการรู้จักประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ในด้านต่างๆ ทั้งการแพทย์ การศึกษา การคมนาคม การสื่อสาร ซึ่งเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในยุคนี้ เด็กรุ่นหลังจะได้เห็นเครื่องมือยุคบุกเบิกจากที่พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศนี้เอง
พิพิธภัณฑ์แห่งล่าสุดของอพวช. ที่ได้รับความนิยมทันทีนับแต่เปิดให้เข้าชมเมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 คือพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า โครงการที่ริเริ่มในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นัยว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในระดับอาเซียน และนำเสนอเนื้อหาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง จัดแสดงวิวัฒนาการของโลกและสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละภูมิภาคของโลกรวมถึงประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การมีจิตสำนึกในการรักษา อนุรักษ์ระบบนิเวศ และเตรียมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรู้เท่าทัน
ผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจทันใดเมื่อก้าวเข้าสู่ส่วนแสดงนิทรรศการที่อลังการอยู่ภายในหอที่จัดหรี่ไฟให้ไม่สว่างนักเพื่อขับแสง สี เสียงของเรื่องราวแต่ละหัวข้อจัดแสดงให้โดดเด่นและดึงดูดผู้ชมให้เข้ามามีส่วนร่วม กดดูจออินเทอร์แอ็กทิฟ เล่นเกม ตั้งคำถาม ตอบข้อสงสัย และสัมผัสประสบการณ์ในแบบต่างๆ โดยนิทรรศการประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนบ้านของเรา กำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิต ส่วนชีวิตของเรา ชีวนิเวศแบบต่างๆ บนโลก และส่วนในหลวงของเรา ศาสตร์พระราชาสู่การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ตั้งแต่ชีวิตบนโลกเริ่มต้นขึ้นจากการเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ผ่านปรากฏการณ์ วิวัฒนาการ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หลายครั้ง แม้จะมีหุ่นไดโนเสาร์เคลื่อนไหวให้ตื่นเต้น แต่เราก็เรียนรู้ว่ายังมีซากดึกดำบรรพ์อื่น ๆ อีกที่บอกเล่าความเป็นมาของโลกและสิ่งมีชีวิต ได้เห็นวิวัฒนาการทางกายภาพ บรรพบุรุษของมนุษย์ กระดูกของสัตว์ต่าง ๆ ที่แสดงการปรับตัวและอยู่รอดตามสภาพแวดล้อมของโลกที่แตกต่าง ก่อนจะนำไปสู่ส่วนจัดแสดงระบบนิเวศที่มีองค์ประกอบทางกายภาพและชีวภาพอยู่ร่วมกันภายในชีวนิเวศ (Biome) ตั้งแต่เขตขั้วโลกใต้ ขั้วโลกเหนือ ทุนดรา ไทกา ทะเลทราย เขตอบอุ่น เขตร้อน รวมทั้งเขตภูมินิเวศของประเทศไทย โดยดึงจุดเด่นของแต่ละเขตชีวนิเวศมาจัดแสดงอย่างน่าสนใจ อย่างการเดินผ่านอุโมงค์ลมความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเข้าสู่เขตสภาพอากาศรุนแรงของขั้วโลกใต้ ขณะที่สภาพอากาศรุนแรงของทะเลทราย ก็แสดงวิถีชีวิตภายในเต็นท์พักของชาวเบดูอินที่ให้ผู้เยี่ยมชมได้ (ทำที) นั่งดื่มน้ำชา และมีห้องฉายภาพยนตร์ 4D บรรยากาศทะเลทราย ส่วนเขตภูมินิเวศของไทย ก็จำลองป่าดิบเขา ป่าเต็งรัง ป่าดิบชื้น ป่าพรุ และพื้นที่ชุ่มน้ำอันเป็นระบบนิเวศดั้งเดิมของทุ่งรังสิต มาให้เดินชมชนิดอาจเปียกนิดๆ จากละอองน้ำของน้ำตกจำลองที่มีจุดชมวิวมุมสูงให้ได้ถ่ายภาพ
ส่วนในหลวงของเรา นำเสนอหลักการคิด วิธีการทรงงาน และกระบวนการค้นหาคำตอบตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง องค์ความรู้ด้านดิน น้ำ ป่า และคน (อาชีพ) ที่สามารถนำมาปฏิบัติให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ยั่งยืน และเห็นผลได้จริง โดยมีห้องชมภาพยนตร์ที่ฉายบทสัมภาษณ์ของสถานีบีบีซี และมีอุปกรณ์ VR ให้สวมดูภารกิจฝนหลวงที่เครื่องบินขึ้นไปโปรยสารทำให้เกิดฝนตกเพื่อใช้ในการเกษตรของประชาชน โดยทั้งหมดทั้งมวลของการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าไม่เพียงให้ความรู้ความเข้าใจ ยังทิ้งคำถาม สร้างความตระหนักรู้ถึงปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศ ภาวะโลกร้อนที่วิกฤติขึ้นเรื่อยๆ ภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ของพื้นที่และสิ่งมีชีวิต รวมถึงปัญหาขยะพลาสติก ที่ล้วนเป็นผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการกระทำของมนุษย์
อ่านรายละเอียดของกลุ่มพิพิธภัณฑ์ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เพิ่มเติมได้ที่ https://www.nsm.or.th/nsm/