“ระหว่างเรียนมัธยมปลายที่พิษณุโลก ผมมีโอกาสลงพื้นที่ชุมชนที่อำเภอพรหมพิราม ในฐานะอาสาสมัครโครงการยุววิจัยของ สกว. (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: สกสว. – ผู้เรียบเรียง) การลงพื้นที่ครั้งนั้นเปิดโลกผมมาก เพราะมันไม่ใช่แค่ความสนุกจากการได้ทำงานเป็นทีม หรือการได้เรียนรู้จากชาวบ้าน แต่ยังทำให้เราตระหนักว่าหากมีแผนยุทธศาสตร์ชัดเจน การทำงานภาคประชาสังคมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อผู้คนในพื้นที่ได้จริงๆ
จนพอถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงเลือกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะเห็นว่าถ้าเราอยากทำงานสายนี้ การอยู่ในเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคประชาสังคม จะทำให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น
ผมเลือกเรียนสาขาส่งเสริมการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท เพราะเห็นว่าการเกษตรคือรากฐานของชุมชนส่วนใหญ่ ถ้าเราเอาความรู้ไปส่งเสริมให้เกษตรกรได้เข้าถึงนวัตกรรมหรือช่องทางใหม่ๆ ในการผลิตและจัดจำหน่าย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งจะส่งผลบวกต่อสังคมในภาพใหญ่ไปด้วย
แต่ในช่วงระหว่างเรียน ผมมีโอกาสเข้าร่วมโครงการด้านประชาสังคมหลากหลายมาก ทั้งชมรมอาสาพัฒนาชนบท ชมรมประชาธิปไตย พรรคนักศึกษายุวธิปัตย์ และกลายเป็นว่าพอเรียนจบปริญญาตรี ก็แทบไม่ได้ใช้ความรู้ด้านการเกษตรเลย กลับกลายเป็นประสบการณ์จากการทำงานอาสาสมัคร และคอนเนคชั่นกับเครือข่ายต่างๆ รวมทั้งทักษะในการประสานงานระหว่างเครือข่าย ที่กลายมาเป็นต้นทุนสำคัญในการทำงานของผมหลังเรียนจบ
หลักๆ ตอนนี้ผมทำงานด้านการพัฒนาเยาวชนในฐานะผู้ประสานงานในภาคเหนือของกลุ่ม ขสย. หรือขบวนการสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน ซึ่งเป็นโครงการลูกของขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.) ของ สสส. มีเป้าหมายคือพยายามนำคนทำงานในเครือข่ายของ สสส. มาทำงานมาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนทรัพยากรกัน โดยในบทบาทที่คล้ายกันนี้ ผมยังเป็นผู้จัดการโครงการ Young Moves ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนเสียงของเยาวชนในประเทศไทย ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่ครอบคลุมทุกแง่มุม ตั้งแต่การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมไปจนถึงความมั่นคงในอาชีพและสิทธิแรงงาน
แม้ผมจะไม่ได้มีประสบการณ์มากนักถ้าเทียบกับคนทำงานรุ่นพี่ แต่ผมก็พอเห็นสิ่งที่เป็น pain point ของภาคประชาสังคมเชียงใหม่ นั่นคือการที่ต่างกลุ่มต่างทำงานของตัวเองไป มันไม่ใช่แค่ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างสายงานที่แตกต่างกัน กระทั่งในแวดวงที่ทำประเด็นเดียวกัน ก็ยังมีลักษณะของการต่างคนต่างทำของตัวเองไปอยู่ตลอดมา
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนระหว่างกลุ่มหรือระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ทำงานด้านเยาวชนและตัวเยาวชนเอง ซึ่งผมมองว่าเป็นรากฐานของบุคลากรที่ทำงานด้านพัฒนาที่จะเติบโตขึ้นมาทำงานร่วมกันกับเราในอนาคต
ต้องอย่าลืมว่าการทำงานภาคประชาสังคมมันไม่ใช่งานที่โดดเดี่ยว คุณไม่สามารถกอดรัดประเด็นของตัวเองแล้วทำไปแค่ฝ่ายเดียว เช่นถ้าคุณทำงานเรื่องแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อมร้อยการทำงานร่วมกับกลุ่มที่ทำงานกับชุมชน สังคม หรือชาติพันธุ์ คุณก็ไม่มีทางแก้ปัญหาสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ได้ ซึ่งพอเป็นแบบนี้มันยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงข้อมูลด้วย เพราะที่ผ่านมา ผมพบเห็นนักวิจัยต้องทำวิจัยเพื่อหาข้อมูลที่โครงการอื่นเคยหาไว้แล้วอยู่ซ้ำๆ พอจบโครงการข้อมูลก็ไม่ได้ถูกใช้ต่อ มีคนมาทำโครงการใหม่ก็ทำข้อมูลใหม่ แทนที่จะเอาข้อมูลมาแชร์กัน กลายเป็นว่านักวิจัยก็ต้องทำข้อมูลเรื่องเดิมๆ ใหม่ทุกครั้ง งานเชิงพัฒนาที่อยู่ในฐานของงานวิจัยมันจึงไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ส่วนคำถามว่าทำไมข้อมูลในหลายๆ งานวิจัยยังไม่ถูกทำให้เป็น Open data ผมมองว่ามันอาจเป็นความหวาดระแวงของคนทำงานด้วยว่าผลงานจะถูกช่วงชิง หรือในอีกมุมคือเราอาจยังไม่ค่อยมีสำนึกในการรับผิดชอบในการใช้ข้อมูลของคนอื่น มันจึงเกิดความไม่ไว้ใจกันและกัน แบบบางคนคิดว่าถ้าฉันโอเพ่นดาต้าไป คนเอาไปใช้จะให้เครดิตฉันไหม หรือบางคนคิดว่าแล้วถ้าเราเอาข้อมูลเขาไปใช้ เขาจะฟ้องเราไหม แต่ผมมองว่าช่วงหลังๆ เราเริ่มเปิดกันมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีครับ
ซึ่งนั่นล่ะ ถ้าข้อมูลมันถูกเปิดโดยมีข้อตกลงที่ชัดเจนร่วมกัน พร้อมไปกับการที่คนทำงานทุกส่วนไม่หวงแหนบทเรียนที่ตัวเองได้มา เอามาแชร์กัน เรียนรู้จากกันและกันไม่ว่าคุณจะทำงานสายไหน แน่นอนที่ว่าเป้าหมายของแต่ละกลุ่มอาจแตกต่าง แต่ผลลัพธ์ทางอ้อม มันก็จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมเมืองและสิ่งแวดล้อมไม่ต่างกัน แล้วทำไมเราจึงไม่เปิดใจทำงานร่วมกันล่ะครับ”
///
ทักษิณ บำรุงไทย
นักกิจกรรมพัฒนา ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.)
#WeCitizensTh #LearningCity #chiangmai
หมายเหตุจากผู้เรียบเรียง: นอกจากบทบาทที่กล่าวมา ทักษิณยังทำงานเป็นผู้ประสานงานเยาวชนให้กับ ACSC (ASEAN Civil Society Conference) และ APF (ASEAN Peoples’Forum) ซึ่งเป็นเวทีขนานกับการประชุม ASEAN Summit ในฝั่งภาคประชาชน โดยเขาทำมาตั้งแต่ปี 2019
ผศ. ดร.มณีรัตน์ วงษ์ซิ้มหัวหน้าโครงการโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดCIAP | นายฉัตรกุล ชื่นสุวรรณกุลที่ปรึกษาโครงการ CIAP ประธานกรรมาธิการสถาบันพัฒนาเมือง และอดีตรองนายกเทศบาลเมืองสระบุรี ในงาน CITY SOLUTION DAY : เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่27 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์…
การบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญของหน่วย บพท.” โดย รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในงาน City Solution Days: เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่ วันที่…
“ในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด และในฐานะนายกสมาคมเทศบาลนครและเมือง ซึ่งในสมาคมเรามีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย เทศบาลนครประมาณ 35 แห่ง และ เทศบาลเมืองประมาณ 220 แห่ง ผมอยากเชิญชวนพวกเรามองเมืองของเราไปด้วยกัน โจทย์วันนี้ของประเทศไทย ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนเราเป็นคนที่มีจมูกรูเดียว พึ่งพาส่วนกลาง และเดินทางมาอย่างนี้มาโดยตลอด จนมีการกระจายอำนาจเมื่อปี 2540 แต่ก็เป็นการกระจายอํานาจค่อนข้างที่จะเป็น ลูกครึ่งลูกผสม คือมีรัฐบาลคอยกําหนดกรอบทั้งการปฏิบัติงานและงบประมาณ ท้องถิ่นก็ทำงานในระดับพื้นที่ไป จริงอยู่ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการพัฒนาเชิงพื้นที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่นที่มีความตั้งใจจริง และแสวงหาโอกาสที่อยากจะพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างตลอดเวลา วันนี้สมาคมเทศบาลนครและเมือง มีโอกาสรวมตัวกันในการที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ แล้วหาช่องทางในการที่จะส่งเสริมต่อยอด ซึ่งในปีพ.ศ.2567 ก็เกิดความร่วมมือกับทาง บพท.…
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…