“แม้เชียงใหม่จะมีคูเมืองที่เป็นเหมือนสวนหย่อมใจกลางเมือง และมีดอยสุเทพเป็นฉากหลัง แต่ข้อเท็จจริงคือ คนในเมืองกลับมีพื้นที่สีเขียวน้อยมาก โดยเมื่อเทียบขนาดพื้นที่กับประชากรโดยเฉลี่ย เราจะมีพื้นที่สีเขียวราว 6 ตารางเมตรต่อคน ต่ำกว่าค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ที่ 9 ตารางเมตร นี่ยังไม่นับรวมประชากรแฝง เช่น นักเรียน นักศึกษา หรือแรงงานอื่นๆ ที่ประมาณ 5 แสนคน ถ้านับรวมจำนวนนี้เข้าไป คนที่อาศัยในเชียงใหม่จะมีพื้นที่สีเขียวต่อคนอยู่ที่แค่ 1.8 ตารางเมตรเท่านั้น ต่ำกว่ามาตรฐานหนักเข้าไปอีก
นอกจากเรื่องการขาดแคลนพื้นที่สีเขียว ในเวทีสาธารณะของกลุ่มเชียงใหม่ฮอม ที่เปิดให้คนเชียงใหม่มาร่วมแบ่งปันข้อเสนอในการพัฒนาเมืองบริเวณข่วงประตูท่าแพ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เรายังพบเสียงสะท้อนของปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญอีก 3 ประการ ได้แก่ ฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งมันไม่ใช่แค่มาจากการเผาป่า แต่ยังเกิดจากรถยนต์และวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในเมือง ปัญหาเกาะความร้อนในเมือง หรือการที่เมืองมีอุณหภูมิสูงขึ้นต่อเนื่อง และปัญหาสำคัญอีกข้อคือ ความมั่นคงทางอาหาร อันนี้เป็นผลสืบเนื่องจากโควิด-19 ที่กลุ่มคนจนเมืองต้องเผชิญหนักที่สุด และก็เช่นปัญหาขาดแคลนพื้นที่สีเขียว แม้เราจะมีพื้นที่เกษตรรอบเชียงใหม่มากมาย แต่ผู้คนที่ยากจนในเมือง กลับไม่สามารถเข้าถึงอาหารการกินที่ดีในราคาย่อมเยาได้
เราพบว่าปัญหา 4 ข้อนี้ล้วนเชื่อมโยงกันหมด นั่นคือเมืองไม่มีพื้นที่ให้หายใจ ต้นไม้ใหญ่ที่ใช้ฟอกอากาศมีน้อย อาคารสูงขึ้นหนาแน่น ประกอบกับภูมิศาสตร์แอ่งกระทะอีก มลภาวะและความร้อนจึงไม่ถูกระบายเท่าที่ควร ขณะเดียวกันเมื่อเรามีพื้นที่สวนน้อย ยังส่งผลให้เราขาดแคลนพื้นที่สวนครัวซึ่งเป็นต้นทุนทางอาหารที่ถูกที่สุดในเมืองด้วย
พอเราได้มีโอกาสทำโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ จึงเห็นช่องทางในการสร้างพื้นที่ของการเรียนรู้ ไปพร้อมกับเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื้อรังของเมืองไปพร้อมกัน พูดเหมือนเป็นการทำพื้นที่สีเขียวใหม่ใหญ่โต แต่เปล่าเลยครับ เอาจริงๆ เรามีสวนสาธารณะหรือพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างในเขตเทศบาลรอให้มีการปรับปรุงฟื้นฟูเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือสวนน้ำปิง ซึ่งตั้งอยู่เยื้องกาดต้นลำไย ริมแม่น้ำปิง โดยที่ผ่านมามีภาคประชาสังคม กว่า 10 ภาคีร่วมรณรงค์และขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูสวนแห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในที่สุดเทศบาลนครเชียงใหม่ ก็เห็นด้วย และรับเป็นแม่งานในการก่อสร้าง โดยมีใจบ้านสตูดิโอและสตูดิโอ A49 เชียงใหม่ ร่วมออกแบบ
กล่าวได้ว่าพื้นที่ที่กำลังจะกลายเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ของเมืองแห่งนี้ เกิดขึ้นจากเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะมันเริ่มมาจากกลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องต่อรัฐ และเมื่อรัฐอนุมัติ ก็มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดทิศทางของสวน ขณะเดียวกัน ภายหลังที่เทศบาลประกาศแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาสวนน้ำปิง ที่มาจากตัวแทนประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ 23 คน ทางทีม Learning City ของเราก็เข้าไปร่วมออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยให้คณะทำงานของเรา รวมถึงชาวชุมชนบางส่วน ได้ล่องเรือสำรวจระบบนิเวศริมแม่น้ำปิง รวมถึงทำกิจกรรมชักชวนผู้ที่สนใจมาพายเรือคายัคในแม่น้ำ และฟังวิทยากรเล่าถึงความสำคัญของระบบนิเวศและประวัติศาสตร์ของแม่น้ำปิง
เพราะเราเชื่อว่าการเรียนรู้นี้ ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจแก่คนในพื้นที่ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการออกแบบและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในสวนน้ำปิง แต่มันยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่หลายคนมองข้ามของแม่น้ำสายที่กล่าวได้ว่าเป็นเส้นเลือดของเมืองเชียงใหม่สายนี้ ความตระหนักรู้จะนำไปสู่ความเข้าใจและนำมาซึ่งจิตสำนึกของความหวงแหนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
จริงอยู่ที่การทำสวนสาธารณะแห่งเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมนานัปการที่ผมเกริ่นไว้ได้ ดังนั้น การที่ชาวเชียงใหม่ร่วมแรงร่วมใจผลักดันให้เกิดสวนแห่งนี้ ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อการบูรณะพื้นที่รกร้างแห่งอื่นๆ ให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดของคนเชียงใหม่ รวมไปถึงอาจเป็นสวนครัวสำหรับทุกๆ คนช่วยลดปัญหาความมั่นคงทางอาหารของผู้คนในอนาคต
นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอีกประการก็คือ เรายังได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่นำไปสู่การออกแบบพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม ซึ่งอาจเป็นโมเดลของการออกแบบสิ่งปลูกสร้างอะไรก็ตามแต่ในเมืองของเรา ให้สอดรับกับบริบทของวิถีชีวิตของผู้คนและระบบนิเวศ ช่วยบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองเมืองนี้ ไม่ให้หนักเกินกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
///
นิเวศน์ พูนสุขเจริญ
ผู้เชี่ยวชาญโครงการจัดตั้งศูนย์ล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…