“ย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ. 2547 ยะลาเคยเป็นเมืองที่น่ารักและน่าอยู่มากๆ จำได้ว่าผู้คนไม่ว่าจะเชื้อชาติหรือศาสนาอะไรก็ล้วนเป็นมิตร คนในชุมชนรู้จักและเข้าถึงกัน บางคนต่างศาสนาแต่กินข้าวโต๊ะเดียวกันก็มีให้เห็นบ่อย แต่พอมีเหตุการณ์ความไม่สงบเท่านั้นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
พอเกิดความรุนแรง ผู้คนก็หวาดระแวงกัน แถมยังมีกระแสว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายแฝงตัวอยู่ในชุมชน จากที่เคยไปมาหาสู่กัน เราก็ค่อยๆ ถอยห่างคนที่อยู่ต่างศาสนา พอมีคนต่างถิ่นหรือคนแปลกหน้าเข้ามา จากที่เราเคยยิ้มแย้มต้อนรับ ก็กลายเป็นความตึงเครียดไม่ไว้วางใจ และพอไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงตรงไหนหรือเวลาไหน กิจกรรมในเมืองก็ถูกระงับหมด ซึ่งก็มาซ้ำเติมสถานการณ์กับการที่มีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะและทำร้ายกันด้วย
แม้พื้นฐานของเมืองจะน่าอยู่ แต่บรรยากาศที่เป็นตอนนั้นก็ทำให้หลายคนเลือกจะเก็บตัว หรือบางครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน
จนผ่านไปราว 2-3 ปี สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย แต่บรรยากาศของเมืองก็ยังคงตึงเครียดอยู่ ท่านนายกเทศมนตรี (พงศ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ) ก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เมืองกลับมามีบรรยากาศเหมือนเดิม ท่านก็ริเริ่มโครงการหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการปลูกฝังความสามัคคีในเยาวชนด้วยการทำวงออร์เคสตราเยาวชนเทศบาลนครยะลา
โครงการนี้ท่านนายกฯ ได้แนวคิดมาจาก รศ.ดร. สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งท่านเห็นว่าการแสดงดนตรีจะเป็นเครื่องละลายพฤติกรรมของเยาวชนได้ ก็เลยมีการเปิดรับสมัครครั้งแรกปี พ.ศ. 2550 มีเด็กนักเรียนในยะลามาสมัครราว 120 คน มาจากทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม เทศบาลก็จัดสรรงบประมาณซื้อเครื่องดนตรี และสถานที่ฝึกซ้อม ก่อนจะพาตัวแทนเด็กๆ และคุณครูไปอบรมที่วิทยาลัยดุริยงคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้พวกเขากลับมาสอนเพื่อนๆ
หลังจากฝึกซ้อมอยู่พักใหญ่ ก็มีการแสดงครั้งแรกในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เดือน ธ.ค. 2550 ที่หอประชุมใหญ่ของเทศบาล มีผู้ชมมาชมหลักพันคน ผลตอบรับดีมาก นั่นทำให้มีการเปิดรับสมัครอบรม ฝึกซ้อม และจัดการแสดงประจำปีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับเชิญให้ไปออกงานในหลายจังหวัดรวมถึงต่างประเทศ และกลายเป็นโมเดลที่ถูกใช้เป็นแบบอย่างในเมืองอื่นๆ รวมถึงกรุงเทพฯ
ปีนี้เราแสดงติดต่อกันมาเป็นครั้งที่ 15 กระทั่งช่วงโควิด-19 เราก็จัดแสดงต่อด้วยรูปแบบคอนเสิร์ตออนไลน์ โดยล่าสุดเราก็เพิ่งจัดแสดงในงานยะลาสตอรี่ของโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้มาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ตอนนี้เรามีศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของวงออร์เคสตราอยู่ที่ราว 1,300 คน โดยจากกิจกรรมนี้ ทำให้มีนักเรียนหลายคนเลือกเรียนต่อด้านดนตรี และที่น่าภูมิใจที่สุดคือ มีศิษย์เก่าของเราหลายคนไปเรียนต่อถึงระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลและศิลปากร เพื่อจะกลับยะลามาสอนน้องๆ เพราะในช่วงปีแรกๆ ก็ต้องยอมรับว่าวงของเรายังไม่ได้มาตรฐาน ก็เลยมีรุ่นพี่ไปเรียนเชิงลึก เพื่อกลับมาพัฒนาน้องๆ ต่อไป
พี่มาดูแลโครงการนี้ตอนปี 2559 ค่ะ ก็มีสิ่งที่ต้องแก้ไขในทุกปี โดยก็ยังคงยึดถือแนวคิดการสร้างความสามัคคีเป็นหลัก การเล่นดนตรีให้เก่งก็เรื่องหนึ่ง แต่ออร์เคสตราจะไม่มีทางสมบูรณ์แบบ ถ้าสมาชิกในวงไม่ร่วมมือหรือทำงานเป็นทีมกัน ขณะเดียวกันเราก็ปลูกฝังคุณธรรม และความรู้สึกแบบครอบครัวเดียวกัน คือไม่ใช่แค่เล่นดนตรี แต่ในชีวิตจริงทุกคนต้องเอื้ออาทรและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ซึ่งอีกผลลัพธ์ที่น่าภูมิใจก็คือ ไม่เพียงพี่ที่จบไปกลับมาช่วยพัฒนาทักษะน้องๆ แต่การที่วงออร์เคสตราได้แสดงทุกปีด้วยการเก็บค่าเข้าชม ก็ทำให้เรามีเงินทุนสนับสนุนการศึกษาให้สมาชิกในวงที่เรียนจบระดับมัธยมและไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษาต่อไป กลายเป็นวงที่พี่กลับมาช่วยน้อง ส่วนน้องก็เล่นดนตรีหาเงินส่งพี่เรียนกลับคืน
ทุกวันนี้แทบไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในตัวเมืองยะลาแล้ว แต่กิจกรรมของวงออร์เคสตราก็ยังดำเนินต่อไป เพราะสิ่งนี้มาไกลกว่าการเป็นเครื่องมือสลายความขัดแย้ง แต่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถาบันหนึ่งที่เป็นความภูมิใจของเยาวชนคนยะลา”
ธิปัตยา คงสุวรรณ
ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สำนักการศึกษาเทศบาลนครยะลา
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…