“ถึงขอนแก่นจะเป็นเมืองที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นอันดับต้นๆ ของอีสาน แต่เมืองก็กลับมีมุมมืดอยู่ไม่น้อย มุมมืดที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ การเข้าไม่ถึงโอกาส ไปจนถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนแออัดหลายจุด ซึ่งทำให้เด็กหลายๆ คนหลุดออกจากระบบการศึกษา ไปจนถึงเลือกเดินทางผิด
อย่างสมัยก่อนชุมชนที่ผมอยู่เป็นชุมชนเปลี่ยวๆ และอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีวัยรุ่นมาซ่องสุมกันมาก ผมก็พบว่ามีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนที่หันไปหารายได้พิเศษด้วยการเดินยาเสพติด ผมก็ยังได้รับการชักชวนด้วย อย่างไรก็ตาม ผมโชคดีที่โรงเรียนผม เขามีกิจกรรมนอกห้องเรียนให้เลือกหลากหลาย และมันก็ช่วยดึงความสนใจของผมไปอยู่ที่กิจกรรมเหล่านี้ อย่างผมเข้าร่วมโครงการทูบีนัมเบอร์วัน (TO BE NUMBER ONE) ซึ่งมีส่วนกำหนดเส้นทางชีวิตของผมในปัจจุบันค่อนข้างมาก
หลายคนอาจได้ทราบถึงกิจกรรมของโครงการนี้จากสื่อมาเยอะแล้ว แต่ในฐานะที่ผมเข้าร่วมและมีส่วนขับเคลื่อนโครงการตอนเป็นรุ่นพี่ซีเนียร์ ผมเห็นว่าหัวใจสำคัญคือการทำให้เด็กๆ ได้เห็นตัวอย่างดีๆ จากรุ่นพี่ และการที่รุ่นพี่คอยสานความร่วมมือกับคนนั้นคนนี้ หรือหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ ในการหากิจกรรมให้เด็กๆ และเยาวชนได้ร่วมสนุก เพื่อทำให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเอง
ซึ่งจริงอยู่ จุดนี้จริงๆ มันควรจะเป็นบทบาทของสถาบันครอบครัว แต่ก็ต้องย้อนกลับไปอย่างที่ผมบอกตอนต้นว่า เพราะขอนแก่นเรายังเหลื่อมล้ำอยู่มาก ใช่ว่าทุกครอบครัวจะมีผู้ปกครองที่มีเวลาดูแลลูกได้ การที่เมืองมีพื้นที่ มีกิจกรรม และมีเครือข่ายของเพื่อนและรุ่นพี่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน จึงเป็นเรื่องสำคัญ
หลังเรียนจบมัธยม ผมเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ในสาขาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ พร้อมกันนั้นผมก็เข้าร่วมกิจกรรมของสภาเด็กและเยาวชนของเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมร่วมมาตั้งแต่สมัยมัธยม โดยผมเพิ่งได้รับเลือกเป็นประธานไม่นานมานี้เอง
ในฐานะประธานสภาฯ ที่ตั้งใจไว้คืออยากให้ขอนแก่นเรามีพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงความสามารถหรือได้พิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ครับ ผมคิดนโยบายนี้มาจากปมของตัวเอง ที่เราอาจจะมีอะไรบางอย่างแตกต่างจากคนอื่น ทำให้สมัยเด็กๆ เลยโดนผู้ใหญ่ดุว่าสารพัด และนั่นจากที่ผมเป็นคนเก็บตัวอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่กล้าแสดงออกมากเข้าไปใหญ่ พอไม่กล้าแสดงออก ก็เริ่มไม่มีสังคมเท่าที่ควร มันก็มีความเครียด
แต่นั่นล่ะ อย่างที่บอกว่าผมโชคดีอยู่อย่างที่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการทูบีนัมเบอร์วัน และก็ได้เจอเพื่อนและรุ่นพี่ที่เขาผลักดันให้ผมกล้าเป็นตัวของตัวเอง และกล้าแสดงออก คือถ้าไม่ได้ร่วมกิจกรรมนี้ บางทีผมอาจไปกับเพื่อนอีกกลุ่มแล้วไปทำงานผิดกฎหมายก็เป็นได้ ผมจึงคิดว่าการมีสังคมที่ดีและพื้นที่ที่พร้อม มันจำเป็นมากๆ และจากที่เป็นคนเก็บตัว ไม่อยากทำงานกลุ่มกับใคร ผมก็ค่อยพัฒนาทักษะทางสังคมจนมีความเป็นผู้นำขึ้นมาได้
ผมจึงนำวิธีคิดที่ได้จากทูบีนัมเบอร์วันมาใช้ในการทำงานสภาเด็กฯ เป็นพื้นที่เปิดให้เด็กๆ ในเขตเทศบาลทุกคนสามารถเสนอความคิดของตัวเอง ฝันถึงเมืองขอนแก่นที่เขาอยากอยู่ และมาหารือกันดูว่าด้วยกำลังที่เรามีและเครือข่ายที่เรามี เราพอจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง หรือฝากฝังให้ผู้ใหญ่เขาทำอะไรได้บ้าง
ส่วนพื้นที่ที่ว่านั่นคือที่ไหน? ขอนแก่นเนี่ยเรามีสวนสาธารณะเยอะนะครับ หลายแห่งก็มีขนาดใหญ่มากด้วย แต่สิ่งที่มันขาดคือคุณภาพและความหลากหลายในการใช้สถานที่ ผมจึงอยากเข้ามามีส่วนทำให้พื้นที่เหล่านั้นมีความเคลื่อนไหว และความชัดเจนที่จะช่วยดึงดูดให้คนเข้ามาใช้งานมากขึ้น ทั้งการเชื่อมโยงกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ให้มีอีเวนท์นัดหมายกันไปใช้พื้นที่ จะกลุ่มเต้นคัฟเวอร์ กลุ่มศิลปะ กลุ่มถ่ายรูป หรืออะไรก็ตามแต่ สวนสาธารณะมันเป็นได้มากกว่าที่วิ่งออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อน
ในฐานะคนที่เกิดและโตในขอนแก่น ก็อยากฝากให้ผู้ใหญ่และทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการอำนวยความสะดวกให้ทุกๆ คนเข้าถึงพื้นที่… ใช่ครับ ผมหมายถึงการมีระบบขนส่งมวลชนที่ดี ซึ่งเมืองเราควรจะมีมาตั้งนานแล้วเสียที เพราะอย่าลืมว่าเด็กหลายคนเขาไม่มีรถส่วนตัว เขาก็ไปไหนไม่ได้ พอไปไหนไม่ได้ นั่นก็แปลว่าเขาเข้าไม่ถึงพื้นที่ เข้าไม่ถึงโอกาสในการทำกิจกรรม หรือการพัฒนาตัวเอง”
ศุภชัย นาคประเวศ
ประธานสภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครขอนแก่น