“ผมเป็นคนขอนแก่นครับ บ้านอยู่อำเภอน้ำคลองห่างจากตัวเมืองไป 30 – 40 กิโลเมตร เรียนและเติบโตมาในใช้ชีวิตในเมือง ผมเริ่มมาทำงานเกี่ยวข้องกับเทศบาล น่าจะอายุประมาณ 16-17 ตอนนั้นมาเป็นแกนนำสิ่งแวดล้อม เป็นเครือข่ายเด็กกิจกรรมอยู่ในเครือข่ายของโรงเรียนเทศบาลนครขอนแก่น ยุคนั้นประเด็นยอดฮิตจะเป็นเรื่องพลังงาน เรื่องโลกร้อน ตอนนั้นขอนแก่นมีปัญหาขยะล้นเมืองอยู่ด้วย ก็ทำงานแบบนี้มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 จนมาเป็นครูประจำโรงเรียนเทศบาล คือค่อย ๆ ขยับงานขึ้นมาเรื่อย ๆ จากเป็นอาสาสมัคร ต่อด้วยเป็นลูกจ้างสำนักการศึกษาเทศบาล ไปสอบบรรจุเป็นครูผู้ช่วย ก่อนจะไปประจำที่อุดรฯ ได้ 2 ปี แล้วกลับเข้ามาช่วยทางเทศบาลนครขอนแก่นดูแลเด็กนอกระบบกับเด็กเร่ร่อน จนตอนนี้เป็นรองผอ.อยู่โรงเรียนโนนชัย
โรงเรียนโนนชัย ที่ผมสอนอยู่ในปัจจุบัน เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึง ม.3 ครับ เป็นโรงเรียนวิถีชุมชนเน้นพัฒนาทักษะชีวิต สอนกระบวนการคิดให้นักเรียนสามารถอยู่รอด อยู่เป็น และอยู่อย่างมีความหมายในสังคม เพราะว่าเด็กของโรงเรียนโนนชัยจะเป็นเด็กชุมชนชานเมือง และมีน้อง ๆ จากชุมชนแนวทางรถไฟมาเรียนด้วย ถือว่าเป็นน้อง ๆ ที่จะเติบโตไปทางสายอาชีพ ถือว่าเป็นเด็กกลุ่มที่ยังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา คือ จริงๆ ในขอนแก่นมีน้อง ๆ ที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือไม่ได้เรียนหนังสืออีกมากครับ ผมเคยร่วมงานกับทีมงานไร้พรมแดน พบว่ามีเด็กและเยาวชน หรือวัยรุ่นที่ไม่ได้รับการศึกษาอยู่ราว ๆ 10 – 15 คน คิดง่าย ๆ ว่าลองคูณด้วย 95 ชุมชนในเขตเทศบาลเข้าไป ผมคิดว่าตัวเลขถ้ารวมประชากรแฝงอยู่ด้วยน่าจะมีถึงสองสามพันคนนะครับ แล้วเขามีการรวมตัวกับเป็นแก๊งด้วย ธรรมชาติของเด็กกลุ่มนี้คือชอบเล่นชอบเที่ยว โดยเฉพาะเที่ยวกลางคืน ติดเพื่อน ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุขทุกรูปแบบ และตามมาด้วยปัญหาอาชญากรรม ลักเล็กขโมยน้อย คดีค้ายาเสพติด ฯลฯ ที่ผ่านมาทางเทศบาลนครขอนแก่นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังจำได้ว่าราวปี 2554 ตอนนั้นผมเป็นลูกจ้างชั่วคราวสำนักการศึกษา ได้รับมอบหมายให้ดูแลน้อง ๆ กลุ่มนี้ จึงได้เข้าไปคลุกคลี และเข้าใจปัญหาของพวกเขาจริง ๆ น้อง ๆ จะเรียกผมว่า ‘ครูมาหา’ ไม่ใช่มหาแบบคนที่บวชพระแล้วนะครับ หมายถึง ครูมาหาแล้ว อะไรทำนองนั้น ตอนนั้นคือเราลงไปเดินชุมชน ทำความรู้จักน้อง ๆ ชวนเขามาทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ จนไปถึงเข้าไปคุยกับหัวหน้าแก๊ง แก๊งใหญ่สุดตอนนั้นคือแก๊งมังกรดำ ผมก็มีโอกาสได้คุย ก็พยายามสร้างความเข้าใจชวนน้อง ๆ มาร่วมฟื้นฟูเยียวยา หาโอกาสอบรมพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมให้ไปเรียนหนังสือ จนเด็กกลุ่มนี้สามารถที่จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นสลายแก๊งสลายกลุ่ม หันมาทำงานทำการ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม
งานดูแลเด็กนอกระบบ เด็กชายขอบ ผมคลุกคลีมาได้พักใหญ่ และเมื่อปี 2564 ก็ได้ช่วยกันกับเครือข่ายจัดงาน 10 ปีเด็กชายขอบ เราสรุปข้อค้นพบเป็นนวัตกรรมที่เรียกว่านวัตกรรม 5C กลวิธีในการเข้าไปนั่งในใจเด็กชายขอบกับกระบวนการเรียนรู้นอกกรอบ 5C ประกอบด้วย คือ C1 คือ Compassion คือการใช้ความเห็นอกเห็นใจ พยายามเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและคนทำงาน C2 ก็คือ Connect อันนี้สำคัญที่สุด คือต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การเริ่มพูดคุยเริ่มสื่อสารกันสำคัญมาก C3 Control ดูแลและช่วยนำพาให้เด็กไปในทางที่ดี ต้องสร้างสัมพันธ์ให้เด็กยอมรับ C4 Continue ความต่อเนื่องที่ต้องทำให้เกิดขึ้นผ่านกิจกรรม ผ่านความสัมพันธ์ นำพาเด็กกลุ่มนี้ให้เขาออกมาทำงาน ออกมาเรียน พาไปสู่การประสบผลสำเร็จเป็น C5 คือ Complete
ส่วนตัวผมจึงมองว่าการเรียนการสอนในระบบหรือจะนอกระบบ สุดท้ายต้องมาตอบโจทย์เรื่องการได้ทำสิ่งดี ทำให้ตัวเรามีความสุข ที่ได้ทำงานดูแลน้อง ๆ หรือการเรียนการสอน มันทำให้ตัวเรามีคุณค่าเห็นคุณค่าในตนเอง แล้วเราจะอยากทำต่อเนื่อง อย่างผมก็ลากยาวกันมาจนมาเป็นครูจนมาเป็นผู้บริหาร ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องนี้ยังนำพาทีมงาน ทำงานกันต่อ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ครับ”
อังคาร ชัยสุวรรณ (ครูมาหา)
รองผู้อำนวยการโรงเรียนโนนชัย อ.เมืองขอนแก่น
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…