“พื้นที่เทศบาลเมืองแก่งคอยจะมีขนาดเล็ก 4.05 ตารางกิโลเมตร โดย 15-20% ของพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ของการรถไฟ มีบ้านพักอาศัยราว 60% ที่เหลือคือพื้นที่ราชการและอื่นๆ จากตัวเลขนี้พอจะเห็นภาพว่าเทศบาลเราเล็กขนาดไหน เล็กในแบบที่ในย่านใจกลางเมือง เราสามารถเดินเท้าหากันได้ทั่ว
แต่ถึงเป็นแบบนั้น ที่ผ่านมา แก่งคอยเรากลับไม่มีพื้นที่กลางที่คนในพื้นที่จะมาพบปะหรือทำกิจกรรมร่วมกันสักเท่าไหร่ หรือที่มีอยู่แล้ว เช่น สวนสาธารณะก็ยังคงถูกใช้ในมุมของสถานที่พักผ่อนหรือออกกำลังกายของคนในเมืองมากกว่า และมันค่อนข้างขาดการเชื่อมโยงกับพื้นที่อื่นๆ ในเมือง
ผมมองว่าการไม่มีพื้นที่กลางเหมือนที่เมืองอื่นๆ อาจจะมีในรูปแบบของศาลาประชาคม ลานคนเมือง หรือจัตุรัสกลางเมือง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การรวมกันของภาครัฐและประชาชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองไม่ได้เดินหน้าเท่าที่ควร รวมถึงการที่ประชากรกว่าครึ่งของแก่งคอยเป็นประชากรแฝง คือเป็นคนจากที่อื่นซึ่งมาอยู่ในแก่งคอยเพื่อทำงานตามโรงงานต่างๆ เมืองจึงมีรูปแบบของการต่างคนต่างอยู่ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชุมชนที่เขาอยู่ชื่อชุมชนอะไร ซึ่งก็โทษเขาไม่ได้ เพราะเขามาที่นี่เพื่อทำงานเป็นหลัก
ผมไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาแก่งคอยไม่มีความเคลื่อนไหวของการภาครัฐและประชาชนในการขับเคลื่อนเมืองนะครับ เพราะหลายปีหลังมานี้ ก็ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่เขาทำงานของเขา ทั้งด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
แต่นั่นล่ะ เมื่อเราขาดพื้นที่กลาง รวมถึงขาดบุคลากรที่ช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมในพื้นที่ มันก็ขาดการเชื่อมร้อยการทำงาน และเป็นไปในรูปแบบของต่างคนต่างทำในกรอบความสนใจของตัวเองไป ทั้งที่จริงๆ ถ้าทุกกลุ่มมารวมกัน และมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาให้เห็นภาพตรงกัน แก่งคอยมีขนาดเล็กแค่นี้ พวกเราทำได้อยู่แล้ว
จริงอยู่ที่การทำงานหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว แต่พอการทำงานหลายหัวโดยไม่ได้มีทิศทางรวมที่ชัดเจน การจะเห็นความเปลี่ยนแปลงมันก็ยาก
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่ผมทำงานเทศบาลเมืองแก่งคอย ก็ต้องยอมรับว่าเทศบาลเรากำลังเผชิญภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง เนื่องจากงบประมาณที่เราได้รับการจัดสรรค่อนข้างจำกัด มันเพียงพอแค่การจ้างบุคลากรและขับเคลื่อนโครงการที่มีอยู่แล้วในเมือง แต่ไม่สามารถนำไปลงทุนกับโปรเจกต์ใหญ่ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงเมืองได้
ผมจึงเห็นด้วยกับที่ทาง บริษัท สระบุรีพัฒนาเมือง จำกัด หอการค้าแก่งคอย และนายกเทศมนตรี (สมชาย วรกิจเจริญผล) ที่ต่างเห็นตรงกันว่าเราควรทำแผนแม่บทที่ครอบคลุมทั้งอำเภอได้แล้ว เพื่ออย่างน้อยจะได้มีทิศทางของการพัฒนาร่วมกันเทศบาลแต่ละแห่งร่วมกับภาคประชาชนก่อน พร้อมกันนั้น เทศบาลเมืองแก่งคอยก็พยายามจะดึงงบประมาณหรือดึงการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ มาสร้างพื้นที่สาธารณะเพิ่มเติม พื้นที่ที่เราหวังจะเป็นพื้นที่กลางให้เราพูดคุย
นอกจากนี้ ผมยังเสนอว่าระหว่างที่ยังไม่มีพื้นที่กลางที่เป็นรูปธรรม เราควรเปิดพื้นที่ออนไลน์ ให้ชาวแก่งคอยมาร่วมสะท้อนปัญหาและหาทางออกร่วมกัน เพื่อสะท้อนให้หน่วยงานรัฐส่วนท้องถิ่นรับฟัง เพื่อหาวิธีการประสานความร่วมมือ
ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่ผมเห็นในแก่งคอยทุกวันนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่จอดรถในย่านการค้าที่ไม่เพียงพอ รวมไปถึงทางเท้าที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเดิน ซึ่งสองเรื่องนี้มันก็สัมพันธ์กันโดยตรง เพราะทางเท้าเดินไม่ได้และไม่มีร่มเงาบัง แม้จะไปทำธุระใกล้ๆ คนแก่งคอยก็ไม่อยากเดิน และเลือกขับรถไปมากกว่า แต่พอจะขับรถไป ก็กลับหาที่จอดรถไม่ได้อีก
นั่นล่ะครับ อย่างน้อยๆ ถ้าแก่งคอยมีการจัดระเบียบทางเท้าให้เดินได้สะดวก รถก็จะติดน้อยลง ปัญหาที่จอดรถก็จะหายไป และถ้ามีพื้นที่กลางสักแห่งที่ผมเสนอมา หรือพื้นที่สีเขียวที่มากยิ่งขึ้น รวมถึงมีกลุ่มคนมาช่วยขับเคลื่อนกิจกรรม อย่างน้อยที่สุด มันก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้คนท้องที่รวมถึงประชากรแฝง อยากออกมาจากบ้าน มาใช้พื้นที่ในเมือง ที่ซึ่งเมืองเราถูกใช้ประโยชน์หรือผู้คนเห็นความเคลื่อนไหวผ่านกิจกรรมในเมืองมากๆ เข้า นอกเหนือไปจากแค่การขับรถผ่านไปมา พวกเขาก็จะมีความคิดอยากจะช่วยกันทำให้เมืองเราพัฒนาให้มากกว่านี้ตามมา”
ธัชชัยม์ สุรินทอง
นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ เทศบาลเมืองแก่งคอย
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…