“ก่อนหน้านี้อาจารย์ประภาภัทร (รศ.ประภาภัทร นิยม อธิการบดีสถาบันอาศรมศิลป์) ได้เข้ามาร่วมกับ อบจ.ระยอง และเครือข่ายต่างๆ ในจังหวัด ทำเรื่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาก่อน ในช่วงนั้นท่านก็คิดว่าต้องมี body หรือกลไกบางอย่างขับเคลื่อนการทำงานร่วมกัน จึงชวนให้ผมเข้ามาทำ social lab ร่วมออกแบบการทำงานเพื่อประสานเครือข่ายต่างๆ
พอระยองมีคณะกรรมการนวัตกรรมการศึกษาเป็นทางการ เราก็พบว่าลำพังแค่การพัฒนาหลักสูตรแต่เพียงในสถาบันการศึกษายังไม่พอ เมืองจำเป็นต้องมีเครือข่ายและแพลตฟอร์มการเรียนรู้นอกห้องเรียนสำหรับคนทุกเพศทุกวัย จึงเกิดการจัดตั้ง ‘สถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัย จังหวัดระยอง’ (RILA) ขึ้น
อันที่จริง อย่างที่อาจารย์ประภาภัทรบอกอยู่เสมอ สิ่งที่เรา (สถาบันอาศรมศิลป์) ทำ คือแทบไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เราเพียงแค่เห็นว่าองค์ประกอบด้านการเรียนรู้ของระยองมีครบหมดแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมายังขาดพื้นที่กลางที่ประสานให้ทุกฝ่ายมาทำงานร่วมกัน และเราก็เข้าไปทำตรงนั้น หาวิธีเชื่อมกลุ่มคนที่ทำงานด้านพัฒนาเมือง และกลุ่มคนที่ทำเรื่องพื้นที่การเรียนรู้เข้ามาทำงานด้วยกัน หลังจากทำ social lab ในขวบปีแรกของงานวิจัย เราพบว่าคนระยองจำเป็นต้องเรียนรู้ 3 เรื่องหลักนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาคนให้เท่าทันการพัฒนาเมือง ได้แก่ หนึ่ง. การเรียนรู้ระดับเมือง ทำให้คนระยองเห็นภาพรวมและกลไกของเมือง สอง. เรียนรู้อัตลักษณ์คนระยอง กล่าวคือการรู้จักรากเหง้าและตัวตนของตัวเองเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และ สาม. ส่วนการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
พอเราได้โจทย์ที่ชัดเจน พร้อมกับเครื่องมือขับเคลื่อนอย่าง RILA แล้ว ขณะที่เรากำลังขับเคลื่อนต่อ คุณสมชาย จริยเจริญ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลเมืองแกลงได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจว่า การจะขับเคลื่อนการเรียนรู้ของจังหวัดในภาพใหญ่มันใหญ่ไป ทำไมเราไม่ลงไปทำในระดับท้องถิ่นหรือตำบลก่อน กล่าวคือก่อนที่จังหวัดจะจัดการศึกษาด้วยตนเอง ระดับตำบลก็ควรทำเสียก่อน
นั่นเป็นที่มาที่เรานำงบประมาณของ บพท. มาทดลองทำโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ระดับท้องถิ่นในปี 2564-2565 โดยเริ่มทำกับเทศบาลที่เราเห็นว่าล้วนมีอัตลักษณ์และบริบทของตัวเองที่ชัดเจน นั่นคือ เทศบาลตำบลเนินพระ เทศบาลตำบลปากน้ำประแส เทศบาลตำบลบ้านเพ และ อบต.กะเฉด
ทั้งนี้แต่ละพื้นที่ก็ต่างมีข้อท้าทายภายใน ที่เรามองว่าหากนำกลไกเรื่องเมืองแห่งการเรียนรู้เข้าไปจับ ก็น่าจะช่วยหนุนเสริมการพัฒนาของเขาได้ เช่น ที่เนินพระ ซึ่งเป็นรอยต่อของอำเภอเมืองกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่นี่เคยเป็นบัฟเฟอร์โซนที่มีผังเมืองเป็นสีเขียว แต่จู่ๆ ก็เกิดบ้านจัดสรรผุดขึ้นมากมาย ชาวบ้านที่นั่นเขาอยากรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและธรรมชาติของเขาไว้ จึงตั้งเป้าให้ที่นี่เป็นชุมชนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
ส่วนปากน้ำประแสและกะเฉดซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอแกลง เขามีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการนวัตกรรมการศึกษาอยู่แล้ว ปากน้ำประแสพยายามนำเสนอจุดขายด้านการท่องเที่ยวหลังภาวะซบเซาของประมงพาณิชย์ แต่ขณะเดียวกัน จากการลงไปสำรวจและสัมภาษณ์ เราพบว่าประมงพื้นบ้านก็ยังเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังคงยั่งยืน เราจึงร่วมกับเครือข่ายชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ไว้ควบคู่กับการท่องเที่ยว
ส่วนตำบลกะเฉดยังเป็นพื้นที่เกษตรซึ่งตั้งอยู่ช่วงปลายของแหล่งอุตสาหกรรมในตัวอำเภอเมือง ชาวบ้านเขาก็อยากรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิม โดยเฉพาะการใช้ภาษาถิ่นระยอง และที่สุดท้ายคือตำบลบ้านเพ ซึ่งเป็นที่จดจำจากการเป็นเมืองทางผ่านไปยังเกาะเสม็ด หากแต่สภาวัฒนธรรมที่นี่แข็งขัน และเพิ่งมีการฟื้นฟูผ้าทอพื้นถิ่นของจังหวัดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทาง RILA จึงเข้าไปหนุนเสริมเรื่องนี้
อาจารย์ปุ้ม (อภิษฎา ทองสะอาด) รับหน้าที่หลักในการประสานงานกับชาวบ้าน และร่วมออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนผมเป็นฝ่ายนำข้อมูลจากการเวิร์คช็อปทั้งหมดมาคิวเรท และฉายภาพให้ชาวบ้านทั้ง 4 พื้นที่ได้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ เพื่อให้ทุกคนร่วมกันตัดสินใจในทิศทางของการขับเคลื่อนชุมชนต่อไป ในโครงการวิจัยของ บพท. ปีล่าสุด (2565-2566) ทางอาศรมศิลป์เราสโคปเข้ามาที่ตำบลปากน้ำประแส ตั้งเป้าว่าอยากให้สิ่งที่เราวิจัยมันขยับสู่แอคชั่นจริงๆ พร้อมกับทำ Urban Design สร้างจินตภาพให้ชาวบ้านเห็นว่าถ้าเราขับเคลื่อนร่วมกันแบบนี้ ชุมชนเราจะต้องการรูปธรรมเป็นอะไรบ้าง และมันเอื้อต่อการไปถึงเป้าหมายอย่างไร
นอกจากความพยายามสร้างพื้นที่หรือกลไกกลางในการทำงานร่วมกัน ผมมองว่าอีกบทบาทหนึ่งของ RILA คือการเป็นกระจกสะท้อนให้ชาวระยองเห็นตัวตนของพวกเขาเอง และเห็นถึงความเชื่อมโยงกัน
อย่างของประแสเองเนี่ย ทีมเราทำแผนที่ทางทรัพยากร ชาวบ้านเขารู้แหละว่ามันมี แต่พอมันถูกขีดอยู่ในแผนที่ เขาจึงเห็นความเกี่ยวโยงกัน และเมื่อหนุนเสริม 3 โจทย์ของการเรียนรู้ ภาพที่เขาเห็นก็ยิ่งชัด เช่น การเรียนรู้ระดับเมือง ซึ่งทำให้พวกเขาเห็นภาพที่ใหญ่กว่าตัวเอง เห็นถึงสมบัติของเมืองที่มีร่วมกัน ในด้านอัตลักษณ์ เขาก็จะตระหนักถึงตัวตนและคุณค่าที่ทุกคนมีร่วมกัน
และการเรียนรู้ทักษะใหม่เนี่ย จริงๆ แล้วถ้าพูดในภาษาชาวบ้านที่ไม่ต้องซับซ้อนอะไร ก็คือการตั้งสติครับ ตั้งสติเพื่อมาดูว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ และหาวิธีทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา หรือใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เผชิญอย่างยั่งยืน”
ยิ่งยง ปุณโณปถัมภ์
นักวิจัยโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ระยอง
อาจารย์สาขาวิชาสถาปัตยกรรมเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม สถาบันอาศรมศิลป์
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…