“คนมักเข้าใจกันว่าชาวลำปางในศตวรรษที่แล้วร่ำรวยจากการทำสัมปทานค้าไม้ แต่เปล่าเลย รายได้จากการค้าไม้นี่เข้ากระเป๋าคนอังกฤษหมด ที่คนในพื้นที่รวยๆ กันนี่ส่วนหนึ่งมาจากการค้าฝิ่น สมัยก่อนฝิ่นยังเสรี หลังธนาคารกรุงไทยในตลาดยังเคยมีโรงฝิ่นขนาดใหญ่ พ่อค้าจีนล่องเรือมาใช้บริการกันงอมแงม แต่ในขณะเดียวกันยุคค้าไม้ ก็ทำให้เกิดธุรกิจอื่นๆ ขึ้นตามมาในเมือง จนทำให้ลำปางรุ่งเรืองอย่างมากในตอนนั้น
สมัยพี่เป็นเด็ก พี่ยังทันเห็นที่เขาขนท่อนซุงกันอยู่เลยนะ ตอนนั้นแม่น้ำวังตั้งแต่เกาะคาลงมาเต็มไปด้วยท่อนซุงในแบบที่ลงไปวิ่งเล่นบนแม่น้ำได้เลย ก่อนพี่จะเกิด ครอบครัวแม่พี่อยู่เกาะคา แกยังเคยทำงานรับจ้างขนท่อนซุงขึ้นฝั่งอยู่เลย จนช่วงหลังๆ การขนไม้เริ่มซาลง ศูนย์กลางเมืองลำปางเปลี่ยนจากเกาะคามาอยู่แถวริมแม่น้ำวังในเมือง พร้อมๆ กับที่เกิดสงคราม แกก็ย้ายมาอยู่แถวย่านกาดกองต้า
ในยุคนั้นคนกาดกองต้าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ส่วนอาคารในกาดกองต้าเขาจะใช้เป็นโกดังเก็บสินค้าหรือไม่ก็พักอาศัย ส่วนคหบดีก็ทำห้องแบ่งให้เช่า กาดกองต้าจึงเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ คนพม่า จีน ญวน ไทย เกือบทั้งหมดล้วนทำการค้า อาจด้วยบรรยากาศแบบนั้น มันก็ทำให้พี่ที่โตมาในย่านนี้เป็นคนชอบค้าขายไปด้วย
พี่หาเงินเองได้ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ เรามีโอกาสลงไปเรียนกรุงเทพฯ ช่วงไหนมาลำปางพี่จะขนกระเทียมเป็นเข่งขึ้นรถไฟไปขายตลาดวัดจันทร์สโมสร แถวซอยองครักษ์ ถ้าช่วงไหนกลับบ้าน พี่ก็ไปซื้อพวกทัพเพอร์แวร์ จานชามเมลามีน ผ้าปูที่นอน และของเล่นในกิ๊ฟท์ช็อปจากร้านในกรุงเทพฯ ขึ้นไปขายคนลำปาง อะไรขายได้ก็ขายหมด เล่นแชร์พี่ก็เล่น (ยิ้ม) พี่เป็นคนแรกเลยนะที่เอาหนังสือการ์ตูนโดราเอม่อนมาขายที่ลำปาง ตอนนั้นเขายังไม่มีสายส่งหนังสือ รายได้นี่หลายหมื่นเลย จากนั้นก็ลองทำพวกกิ๊ฟท์ช็อปด้วยตัวเอง ก็ใช้แบบจากญี่ปุ่นนั่นแหละ ก็ขายดีอีก
หลังเรียนจบสาขาการตลาดที่รามคำแหงกลับมา อาจเพราะเห็นว่าเรามีประสบการณ์การขายอย่างโชกโชน วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ก็เลยชวนให้เราไปเป็นอาจารย์ โดยเปิดสาขาการขายให้เราดูแลเลย และเพราะความที่เราเป็นอาจารย์ที่อาชีวะนี่แหละ ที่ทำให้ชาวชุมชนกองต้ามักจะมาปรึกษาเราอยู่เสมอ กระทั่งพอมีการจัดตั้งชุมชน เขาก็ชวนให้พี่ไปเป็นคณะกรรมการชุมชน
จุดเปลี่ยนของกาดกองต้า คือปี พ.ศ. 2548 ที่มีน้ำท่วมหนักเมืองลำปาง อย่างที่บอกว่าอาคารส่วนใหญ่ในกาดกองต้าเป็นโกดังเก็บสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าในตลาด พอน้ำท่วม สินค้าก็เสียหาย เจ้าของเขาก็จำใจเอาของที่ยังมีสภาพดีบางส่วนมาขายเลหลังในราคาถูก ขายบนถนนที่ยังเปื้อนโคลนแบบนั้นเลย มีตั้งแต่เหล้าฝรั่ง เครื่องดื่ม ขนม ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ คนลำปางก็แห่กันมาซื้อกันเต็มไปหมด จากบรรยากาศที่เศร้าๆ เพราะน้ำท่วม ย่านนั้นกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด เราก็คุยกันว่าน่าจะจัดตั้งให้เป็นถนนคนเดินไปเลยนะ
คือก่อนหน้านั้น ทางเทศบาลเขาเคยมีความคิดจะทำถนนคนเดินตรงนั้นอยู่แล้วด้วย เพราะเห็นศักยภาพของตึกเก่าแก่ในย่าน เขาก็เคยเอางบมาลงและจัดถนนคนเดินอยู่สองสัปดาห์ แต่ความที่เป็นราชการน่ะ เขาทำโดยไม่ได้สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน แล้วพองบหมดเขาก็ไม่ทำต่อ ก็เลยเลิกกันไป จนมาเกิดน้ำท่วมนี่แหละ เราก็คิดว่าไหนๆ คนก็มากันเยอะแล้ว เราทำตลาดของพวกเราเองดีกว่า จะได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
นั่นแหละ คนในกาดกองต้าก็เลยรวมตัวกันไปขอจัดตั้งชุมชน จัดตั้งกันช่วงปลายเดือนตุลาคม 2548 หลังน้ำท่วมได้ไม่นาน และเปิดถนนคนเดินกาดกองต้าครั้งแรกเย็นวันที่ 9 พฤศจิกายน ตอนนั้นยังมีโคลนจากน้ำท่วมติดอยู่เลยนะ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสมาก บ้านบางหลังทำเครื่องหมายโชว์ไปเลยว่าน้ำเคยท่วมถึงระดับไหน ส่วนพี่ก็ชวนเพื่อนๆ ที่ชอบเล่นสะล้อซอซึงในวงเหล้า มาเล่นเปิดหมวกในกาด เอาวงสะล้อมาเล่นเพลงสากลด้วย สร้างสีสันให้กาดจนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างจนทุกวันนี้
เราไม่เก็บเงินค่าเช่าพื้นที่พ่อค้าแม่ค้าสักบาทเลย คือคุณแค่มาลงชื่อ เราก็จัดสรรล็อคให้ ตลาดเราไม่ทำโซนนิ่ง เพราะตั้งใจให้เป็นตลาดที่ทุกคนในครอบครัวมาเดิน อยากให้ทุกคนเดินไปด้วยกันไม่ต้องแยกกันเดิน อย่างเดินไปล็อคหนึ่งคุณจะเจอลูกชิ้นปิ้ง ถัดไปอาจเป็นกิ๊ฟท์ช็อป ถัดไปเป็นเสื้อผ้าแบบนี้ มันหลากหลายน่ะ แต่ความหลากหลายนี้ก็ทำให้พ่อแม่ลูกก็จะเดินไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งทันทีที่เปิด กาดกองต้าก็เป็นที่นิยมมาก จากตลาดของคนในเมือง ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงตัวแทนจากจังหวัดต่างๆ อย่างน่าน แพร่ และเลย มาศึกษาดูงานวิธีการทำตลาดเรา เขาอยากรู้ว่าเราทำยังไงโดยไม่เก็บค่าเช่า และประสานกับเทศบาลอย่างไรในการจัดการกับขยะ
แต่แน่นอนในทางกลับกัน ก็มีแรงเสียดทานเยอะ หลายคนก็บอกทำไมไม่จัดโซนนิ่ง บางคนบอกพอทำแบบนี้กาดกองต้ามันไม่มีเอกลักษณ์ ทำไมไม่มีเอาพวกกาแลมาตบแต่งให้เป็นถนนสายวัฒนธรรมอะไรแบบนี้ เราก็อธิบายว่าเราตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้รองรับคนลำปาง แต่ก่อน เวลาหยุดเสาร์-อาทิตย์ คนลำปางนี่ขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่กันหมด ตัวเมืองลำปางนี่เงียบเลย เราก็หวังเปิดตลาดแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนให้คนในพื้นที่เป็นหลัก เราไม่ได้อยากให้ที่นี่เป็นแฟรนไชส์ของถนนคนเดินเชียงใหม่ (หัวเราะ)
จริงอยู่แม้เราจะทำการค้ามาอย่างโชกโชน แต่เรื่องการทำตลาดนัดนี่คนละเรื่องเลย เหนื่อยมากๆ แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังเหนื่อยอยู่ คือต้องจัดการหมดตั้งแต่การใช้พื้นที่ คุยกับทางเทศบาลเรื่องการทำความสะอาด หรือตอนเปิดใหม่ๆ ยังมีปัญหาพวกแก๊งซามูไรมาก่อกวนอีก รวมถึงการต้องคุยกับคณะกรรมการที่ต่างคนก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง คิดอยากจะวางมือหลายครั้งแล้ว ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งอยากพักผ่อน แต่ก็รู้สึกว่าถนนคนเดินนี้มันเหมือนลูก ยังรู้สึกสนุก และดีใจที่ได้เห็นพ่อค้าแม่ค้าได้เติบโต
ส่วนภาพที่อยากเห็นในกาดกองต้าแห่งนี้น่ะหรือ พี่อยากเปลี่ยนถนนสายนี้ให้ทุกคนได้ขายของกันทุกวันน่ะ จริงอยู่ช่วงหลังๆ เริ่มมีคนรุ่นใหม่กลับมาทำธุรกิจในกาดกองต้าบ้างแล้ว แต่เราก็อยากทำให้มันเป็นย่านค้าขายจริงจัง คือเจ้าของตึกในกาดกองต้าส่วนใหญ่เขาปิดตึกเขาไว้เฉยๆ น่ะ เขาก็อยู่ข้างในทำอะไรของเขาไป เลยคิดว่าถ้างั้นปล่อยให้คนอื่นมาเช่าทำการค้าในราคาไม่แพงกันไหม ดีกว่าปล่อยให้ตึกมันร้างเปล่าๆ หรือทำแผงลอยริมฟุตปาธก็ได้ คือเย็นเสาร์และอาทิตย์ก็ขายกันตามปกติแหละ แต่วันธรรมดาก็น่าจะมีด้วย เพราะถ้าคุณมาเห็นในเวลาปกติ กาดกองต้านี่เงียบมากเลยนะ ก็อยากให้มันกลับมามีชีวิตชีวา แทนที่จะรอสุดสัปดาห์ สู้ขายไปทุกวันเลยดีกว่า”
พจนารถ พัฒนานุกูล
ประธานชุมชนกาดกองต้าใต้
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…