“จริง ๆ การทำงานขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ขอนแก่น เข้ามาเติมเต็มให้กับขอนแก่นโมเดลในเรื่องเกี่ยวกับการสร้างความมีส่วนร่วมของประชาชน การสร้างความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นให้กับผู้คน คือต้องเรียนตามตรงว่า ตัวขอนแก่นโมเดลที่ผ่านมาขับเคลื่อนในลักษณะองค์กร ภาคเอกชน วิชาการ ภาครัฐต่าง ๆ ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามก็อาจจะงง ๆ อยู่ว่ามันคืออะไร แต่พอมีโครงการ Learning City ขึ้นมา โครงการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม และเติมเรื่องการมีส่วนร่วมการรับรู้ของคนเพิ่มเข้าไป ผนวกกับ Learning City มีเป้าหมายอีกด้านหนึ่งคือเรื่องของการช่วยเหลือปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่ด้วย การเข้าถึงการเรียนรู้ของคนซึ่งหมายรวมไปถึงคนพิการ คนด้อยโอกาส คนจน และในงาน Learning City Phase 2 เราจึง Focus ในเรื่อง Public space ซึ่งตัวมันเองช่วยลด Boundary ของรวยคนจนอยู่แล้ว เราจะทำยังไงให้ไปสนับสนุนเรื่องการเรียนรู้มากขึ้น
ย้อนกลับไปงาน Phase แรกผมไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากเท่าไหร่ แต่ก็พอทราบว่ามีการดำเนินการเรื่องใดบ้าง เรื่องแรกที่ดำเนินการคือการสร้างการรับรู้กับองค์กรในเรื่องแนวทางของ UNESCO มีการทำ MOU ระหว่างหน่วยงาน มีการจัดเวทีเพื่อเสวนาทั้งหารือกรอบแนวคิด Learning City และสรุปการทำงานการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองของคนขอนแก่นให้ออกมาเป็นเรื่องราวที่ส่งต่อเรียนรู้ได้ โดยกลุ่มเป้าหมายก็เป็นคนในเมืองขอนแก่นเอง โดยเฉพาะคนในพื้นที่เทศบาลโดยรอบ ต้องไม่ลืมว่าขอนแก่นเองก็มีโครงการมากมาย และการเชื่อมร้อยทำความเข้าใจร่วมกันก็เป็นสิ่งสำคัญ Learning City เข้ามาเติมเต็มกลไกตรงนี้ เพราะธรรมชาติของงาน Learning City สามารถที่จะไป join กับทุกโครงการได้หมด และมองว่าเมื่อ Goal ของทุกคนคืองานพัฒนาเมืองขอนแก่นเช่นเดียวกัน ขอยกตัวอย่างโครงการ Low-carbon City คณะทำงานที่ดูแลโครงการ และเชื่อมความร่วมมือกัน ก็ได้ประสานและร่วมมือกับ Learning City เพราะเห็นว่าการเรียนรู้คือหัวใจสำคัญ คนต้องเรียนรู้และเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่อง Low-carbon เรื่องการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานสะอาด แม้กระทั่งเรื่องของ Wellness เรื่องสุขภาพ ก็ต้องยืนอยู่บนฐานการส่งเสริมให้คนเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพในทุกช่วงวัยไม่ว่าจะเด็ก วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ
ในเฟส 2 ของ Learning City ขอนแก่นเราโฟกัสโครงการย่อยอยู่ 2 ตัว หนึ่งคือ KGO เป็นการสร้างเรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยี และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพิพิธภัณฑ์มีชีวิต หรือว่า Life museum ถ้าพูดถึงMuseum ก็จะนึกถึงอาคารที่มีของจัดแสดงอยู่ข้างใน แต่คำว่าLife museum คือใครก็ได้ที่มีความรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้ Learning City เรามองไปถึงปราชญ์ชาวบ้าน หมอยา หมอดิน ตอนนี้ที่เรากำลังทำเรื่องการนวดแผนโบราณเรียกว่าการนวดขิดแบบอีสาน ปราชญ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้ถือว่าเป็นที่มาและโอกาสการสร้างรายได้ได้ด้วย ทั้งผ่านการให้บริการ และถ่ายทอดต่อให้กับคนที่อยากเรียนรู้ แล้วอีกส่วนที่Life museum กำลังจะทำคือเกี่ยวกับเรื่องการใช้พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่การเรียนรู้ ในขอนแก่นเราคนที่ชอบวิ่ง ชอบปั่นจักรยาน ชอบเต้นเอโรบิก ชอบพาสัตว์ไปสวนสาธารณะ เรากำลังพยายามเชื่อมต่อกับคนเหล่านี้เพื่อที่จะสร้าง Community กับกลุ่มคนอยากสอน โดยเข้าไปหนุนเสริมให้เกิดความต่อเนื่อง ทำให้เป็นการให้องค์ความรู้ที่เป็นระบบ และเป็น Community ที่ดูแลกันไปด้วย เพียงเท่านี้ก็จะเกิดกระบวนการใช้พื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ของเมืองที่มีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น บึงแก่นนคร บึงทุ่งสร้าง และบึงสีฐาน จริง ๆ มีบึงหนองโคตร เป็นแหล่งการเรียนรู้สำหรับคนในเมืองที่มาใช้พื้นที่สาธารณะ ปลายทางเราหวังว่า Community แห่งการเรียนรู้นี้จะเป็นข้อมูลความคิดเห็นทางตรง ที่สามารถรวบรวมไปเป็นข้อเสนอแนะ ส่งให้กับผู้บริหารท้องถิ่นไปใช้จัดทำแบบนโยบายต่อไป”
ดร. ณรงค์เดช มหาศิริกุล
ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการและการตลาด วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นักวิจัยโครงการ Khon Kaen Learning City
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…