“ผมเกิดลำปาง เรียนกรุงเทพฯ และย้ายมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สอนที่นี่มาได้ 11 ปีแล้ว โดยซื้อบ้านอยู่กับภรรยาที่สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ผมกับภรรยามีลูกแฝด 2 คน ตอนนี้ทั้งคู่เข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร พวกเขาเกิดและโตที่นี่ จะบอกว่าครอบครัวเราเป็นคนพิษณุโลกแล้วก็ได้
ความที่ผมสอนคณะครุศาสตร์ ผมจึงสนใจด้านการศึกษาและพื้นที่การเรียนรู้เป็นพิเศษ ซึ่งถ้าถามถึงเมืองพิษณุโลก แน่นอน เรามีสถาบันการศึกษาที่พร้อมในทุกระดับ แต่ในแง่มุมของพื้นที่การเรียนรู้ เมืองเรายังขาดอยู่มาก
ถามว่าเมืองมีพื้นที่การเรียนรู้ไหม ตอบว่ามีครับ… แต่มันกลับไม่ใช่พื้นที่ที่ทุกคนจะเข้าถึงได้ เพราะถ้าผู้ปกครองไม่ได้มีทุนทรัพย์พอ ก็ยากที่ลูกๆ ของพวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์ อย่างคุณเป็นชนชั้นกลางก็อาจพาลูกไปเล่นสวนสนุกในศูนย์การค้า พาลูกไปเรียนศิลปะหรือเรียนพิเศษเพิ่มเติมตามความสนใจ แต่กับอีกหลายครอบครัว กระทั่งเวลาที่จะพาลูกไปยังไม่มี หรืออย่างเห็นได้ชัดในช่วงโควิด-19 ที่ทุกกิจกรรมการเรียนรู้ไปอยู่ในรูปแบบออนไลน์ ครอบครัวหลายๆ ครัวเรือนกลับไม่มีกระทั่งอินเทอร์เน็ท ก็เป็นเช่นอีกหลายๆ จังหวัดในประเทศเรา ความเหลื่อมล้ำยังเป็นอุปสรรคอย่างเห็นได้ชัด
หรือถึงจะเป็นพื้นที่สาธารณะ หรือกิจกรรมสาธารณะจำพวกอีเวนท์ แทบทุกแห่งและทุกงานที่เกิดขึ้นในเมืองพิษณุโลก ก็ล้วนสอดรับไปกับการปลูกฝังประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเราเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สอดคล้องกับพระนเรศวร ทั้งนี้ ผมก็ไม่ได้ต่อต้านหรือมีปัญหาอะไรเลยนะ เพียงแต่ถ้าคุณอยากเห็นมิติของความหลากหลายของคนรุ่นใหม่ในเมืองเมืองนี้ ที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร
นี่ยังไม่นับว่าการเรียนรู้เมืองหลายๆ องค์ความรู้มันอยู่ในรูปแบบอีเวนท์ หรือกระทั่งกิจกรรมที่เชื่อมร้อยกับงานวิจัย ซึ่งพอช่วงเวลาไหนเมืองมันไม่มีอีเวนท์ หรือกิจกรรมนั้นๆ ไม่มีงบประมาณมาขับเคลื่อนต่อ เมืองก็จะกลับมาอยู่ในโหมดเรียบๆ ปกติ อีเวนท์จึงไม่ตอบโจทย์วัฒนธรรมการเรียนรู้แบบยั่งยืน พื้นที่จริงๆ สำหรับเด็กทุกระดับจึงไม่เกิด
อธิบายให้เห็นภาพ ครั้งหนึ่งพิษณุโลกเคยได้รับการโปรโมทให้เป็นเมืองจักรยาน มีการทำเส้นทางจักรยาน และนำจักรยานมาตั้งตามจุดต่างๆ เข้าใจว่าเป็นโครงการที่ได้รับงบสนับสนุนมาน่ะ พองบหมด จักรยานที่ตั้งไว้ก็ถูกยกไป บรรยากาศของการปั่นจักรยานที่เคยสร้างไว้ก็หายตาม เหลือแต่เพียงป้ายประชาสัมพันธ์นั่นนี่ที่ไม่สามารถใช้ได้จริง เป็นเศษซากของกาลเวลา พอจบแล้ว ก็แล้วกันไป
ถ้าถามถึงข้อเสนอแนะเรื่องพื้นที่การเรียนรู้… ผมเข้าใจนะ เราจะคาดหวังให้คนในสังคมอยู่ดีๆ มาทำเครือข่ายหรือพื้นที่การเรียนรู้ มันก็เป็นไปได้ยาก เพราะคนส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้วิถีที่ต้องทำมาหากิน คนพิษณุโลกหลายคนยังต้องทำงานไปถึงอายุเจ็ดสิบ เพราะเราอยู่ใต้เส้นความเหลื่อมล้ำมานาน จนคิดว่าตัวเองจะมีพลังอะไรอีก แล้วทุกครั้งที่มันมีพื้นที่สร้างการเรียนรู้ มันก็เป็นแค่อีเวนท์ชั่วคราว ขณะเดียวกัน หลายๆ องค์กรเอกชนหรือเครือข่ายภาคประชาสังคมก็ทำหน้าที่แทนหน่วยงานส่วนท้องถิ่น ท้องถิ่นแทบไม่ได้ขับเคลื่อนอะไรไปมากกว่าหน้าที่ปกติ อย่างทำเรื่องถนนหนทาง เสาไฟฟ้า สาธารณูปโภคอะไรแบบนี้ จากหน้าที่ที่รัฐควรต้องช่วยทำเพื่อทำให้เมืองพัฒนา กลับกลายเป็นหน้าที่ของภาคประชาสังคมที่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีงบประมาณหรือพลังมากพอจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม
แต่นั่นล่ะ ผมก็ยังเชื่อว่าภาคประชาชนอย่างเราคือส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของเมือง กำหนดพื้นที่สาธารณะหรือสาธารณูปโภคที่เราอยากได้ มันต้องเริ่มจากประชาชน ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับฟังเสียงพวกเราเพื่อทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ผมจึงเห็นว่าการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีพลังหรือมีงบประมาณพอที่จะทำตามความต้องการของประชาชนของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ หลายๆ โครงการที่ขับเคลื่อนโดยประชาชนหรือสถาบันการศึกษามีข้อเสนอที่ดี แต่หน่วยงานรัฐไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าจะผิดระเบียบ หรือเพราะเห็นว่าอยู่เหนือหน้าที่
ซึ่งถ้าหน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจและความเป็นอิสระพอจะจัดการเมืองของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้คน สิ่งนี้จะย้อนกลับมาที่ภาคประชาชน ในการทำให้พวกเขาแอคทีฟกับเมืองของตัวเอง ด้วยความตระหนักว่าเสียงของพวกเขามีความหมายและสามารถขับเคลื่อนเมืองได้จริง และถ้าเป็นเช่นนั้น เมืองเรามันจะไม่ใช่แค่มีพื้นที่การเรียนรู้ให้กับคนทุกช่วงวัยเท่านั้น เราจะยังมีพื้นที่สาธารณะและสวัสดิการดีๆ ที่ตอบโจทย์สำหรับทุกคน”
อาจารย์ ดร. อรรฏชณม์ สัจจะพัฒนกุล
อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลย์สงคราม
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…