“ผมทำบริษัททัวร์ต่างประเทศอยู่ที่กรุงเทพฯ ครอบครัวฝั่งพ่อเป็นคนพิษณุโลก ป้าไม่มีลูกหลาน พอป้าเสีย พ่อจึงรับช่วงดูแลตึกแถวหลายคูหาบนถนนสุรสีห์ก่อนถึงศาลเจ้าพ่อปุ่นเถ่ากง-ม่า ในย่านตลาดใต้ พิษณุโลก ก่อนจะมาเป็นรุ่นผม
ความที่พ่อเป็นข้าราชการ แกจึงไม่ได้มองเรื่องการค้าขายอะไร จึงปล่อยตึกให้เขาเช่า บางส่วนก็ปิดไว้ ซึ่งความที่เรามีตึกติดกันหลายหลัง ผมเลยมีความคิดที่จะรีโนเวทเพื่อสร้างย่านการค้าที่มีลักษณะเฉพาะตัวร่วมกัน แต่ความที่งานที่ทำประจำอยู่ค่อนข้างรัดตัว จึงผัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา
กระทั่งมีโควิด-19 นี่ล่ะครับ ที่ทำให้เราเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ ผมจึงเบรกบริษัททัวร์ และกลับมาเริ่มธุรกิจที่พิษณุโลก
ผมเปิดร้านอาหารชื่อ ‘บ้านก๋ง ตลาดใต้’ บริเวณหัวมุมเยื้องกับศาลเจ้าก่อน พร้อมกับคาเฟ่ชื่อ Brown ซึ่งอยู่ติดกัน โดยกับบ้านก๋งผมนำบริบทเดิมของอาคารและย่านที่เป็นชุมชนเก่าของคนจีนมานำเสนอ แต่ก็มีความร่วมสมัยที่ตอบโจทย์กับคนรุ่นใหม่ ส่วน Brown จะเป็นคาเฟ่สไตล์มินิมัล เรียบๆ ตามเทรนด์ ก็ตั้งใจให้ทุกคนเห็นว่าเราสามารถเก็บอาคารเก่าไปพร้อมกับการเปลี่ยนฟังก์ชั่นข้างในให้สอดรับกับยุคสมัยได้ โดยหลังจากนี้ก็มีแผนรีโนเวทตึกแถวที่มีอยู่ให้เป็นร้านอาหาร รวมถึงร้านขายสินค้าประเภทไลฟ์สไตล์ต่อไป
ผมตั้งชื่อโปรเจกต์นี้ว่า ReAlive โดยเปิดเป็นบริษัทเลย คือนอกจากทำธุรกิจ ผมอยากทำโปรเจกต์นี้นำร่อง ให้เห็นว่าธุรกิจของคนรุ่นใหม่มันอยู่ในย่านเก่าได้ และมันช่วยฟื้นฟูบรรยากาศของย่านได้ด้วย ขณะเดียวกัน อาจจะเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบและฟื้นฟูย่านให้กับโครงการอื่นๆ เพราะที่ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ย้ายออกจากเมือง ก็เพราะเมืองมันไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาอยู่ คุณอยากให้คนรุ่นใหม่อยู่ในเมือง สิ่งสำคัญคือต้องมีพื้นที่ให้เขาได้ใช้ประโยชน์ มีพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของพวกเขา
ก่อนเริ่มโปรเจกต์ ก็มีความรู้สึกท้ออยู่เหมือนกัน เพราะเคยไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับพิษณุโลกอยู่หลายครั้ง และเห็นว่าพิษณุโลกมันค่อนข้างเงียบ เมืองมันแห้ง เหมือนไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่เขาใช้ชีวิตกันที่ไหน จึงเกิดความลังเลอยู่พอสมควร แต่มีวันหนึ่งผมมีโอกาสแวะไปที่ Ruma Café & Coworking Space แล้วก็ต้องตกใจว่าเด็กๆ เขามาจากไหนกันเยอะขนาดนี้ แล้วก็มีโอกาสสำรวจพื้นที่เล็กๆ ต่างอย่างคาเฟ่ บาร์ และอื่นๆ ก็พบว่าจริงๆ คนเจนใหม่เขาก็อยู่ในเมืองเยอะนะ ถ้าเราทำพื้นที่ของเรา ก็น่าจะเป็นทางเลือกให้เขาได้ ก็เลยตัดสินใจลงมือทำ
ถ้าถามว่าหวังร่ำรวยจากธุรกิจนี้ไหม… ตอบได้ทันทีเลยว่าไม่ครับ เอาจริงๆ ผมทำทัวร์ต่างประเทศ ผลกำไรค่อนข้างดีอยู่แล้ว และถ้าผมอยากรวย ผมไม่ลงทุนกับธุรกิจนี้หรอก เพราะไม่รู้จะใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะคุ้มทุน แต่ในทางกลับกัน เรามีโอกาสเป็นเจ้าของอาคารในทำเลที่ดี มีย่านที่มี story ด้วย จะให้ปิดตึกไว้เฉยๆ และปล่อยทิ้งไว้กลางเมือง ไม่เพียงย่านนี้จะเสียโอกาส เมืองก็จะเสียโอกาสตามไปด้วย เพราะผมเชื่อว่านอกจากพื้นที่ คนรุ่นใหม่ก็ต้องการ story ที่มากับพื้นที่ ซึ่งสิ่งที่ผมทำมันน่าจะตอบโจทย์
นอกจากตึกแถวตรงนี้ อีกฝั่งของถนนบรมไตรโลกนาถ ผมมีตึกแถวอีก 3 คูหาอยู่ด้วย โดยตั้งอยู่ปิดทางสามแยกเข้าตลาดใต้เลย มีแผนไว้ว่าจะทำ Rooftop Café เปิดให้คนขึ้นมานั่งเล่นและชมทิวทัศน์ของเมือง แต่ลึกๆ ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าธุรกิจผมมันอยู่ตัว ผมมีแผนที่จะทุบตึกแถวตรงนี้เพื่อทำเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นสวนหย่อมเล็กๆ ให้กับเมือง อยากให้พื้นที่สีเขียวมันกลายเป็นสวนที่ใช้ประโยชน์ได้ เป็นแลนด์มาร์คเมืองไปด้วย และมีส่วนเสริมความงามให้ภูมิทัศน์ย่านและภาพรวมของเมืองไปพร้อมกัน
ซึ่งนั่นล่ะ ข้อดีของการเป็นเจ้าของตึกแถวครึ่งซอยคนเดียว คือการที่เราสามารถควบคุมการออกแบบและภูมิทัศน์ของย่านได้ ถ้าทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นย่านที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะ และน่าจะช่วยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ในเมืองได้เห็นว่า ถ้าเราทำย่านของเราดี มันจะส่งผลต่อทัศนียภาพโดยรวมของเมืองได้จริง
แต่ถึงจะพูดแบบนี้ มันก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จ ถ้าเทศบาลไม่มาร่วมด้วย ร่วมยังไง? แค่คุณทำภูมิทัศน์เมืองให้เรียบร้อย หรือลำพังแค่ย่านเมืองเก่าพิษณุโลกที่ตึกเก่ามันสวยอยู่แล้ว คุณลงทุนนำเสาไฟฟ้าลงดิน เท่านั้นเลย สถาปัตยกรรมมันจะเด่นสวยขึ้นมา ดูน่าอยู่ และดึงดูดให้มีการลงทุนมากขึ้น แน่นอน การทำแบบนี้มันต้องใช้เงินเยอะ แต่หลายๆ โครงการที่ผ่านมา ก็ใช้งบประมาณมหาศาลกว่านี้ ก็ยังทำได้เลย ผมคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถของหน่วยราชการหรอกครับ หากเขาตั้งใจจริง”
ยอดพล อุทัยพัฒน์
เจ้าของบริษัททัวร์ ฟีลโซกู๊ด จำกัด และ ไปไหนมา.com (www.painaima.com)
เจ้าของร้าน บ้านก๋ง ตลาดใต้ และ Brown Café
https://www.facebook.com/bankong.phitsanulok
https://www.facebook.com/BrownCafe2017
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…