“หนูเป็นคนอำเภอรามัน ย้ายมาอยู่ในตัวเมืองยะลา เพราะเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ หนูเรียนคณะวิทยาการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์ เพราะชอบทำสื่อ และอยากทำภาพยนตร์ค่ะ
ระหว่างเรียน หนูก็มีโอกาสทำหนังสั้นและสารคดีส่งประกวดตามเวทีต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะทำตามโจทย์ของการประกวด เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างหลังที่หนูสนใจเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อค้นคว้าเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเมืองยะลาเพื่อจะนำมาพัฒนาเป็นบทสารคดี หนูกลับพบว่ามีข้อมูลเชิงเอกสารที่ถูกเผยแพร่ค่อนข้างน้อย ทั้งๆ ที่มีเรื่องน่าสนใจตั้งเยอะ
ที่ผ่านมา หนูแทบไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วิชาสังคมศึกษาที่สอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนส่วนใหญ่ก็จะสอนแต่ประวัติศาสตร์ส่วนกลาง อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ จะมีครูบางท่านที่สอดแทรกประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างเรื่องราวของอาณาจักรปัตตานีเข้ามาในบทเรียนบ้าง แต่ก็เป็นในระดับผิวเผิน อาจเพราะเวลาในชั้นเรียนจำกัด หรือหลักสูตรไม่เอื้ออำนวย
เพราะเรียนมาแต่ประวัติศาสตร์ที่อยู่ไกลตัว เรื่องใกล้ตัวเรากลับไม่ค่อยรู้เลย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนูพยายามค้นคว้าข้อมูลของท้องถิ่น เพราะฝันไว้ว่าอยากทำหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเมือง เรื่องของผู้คนยะลา และในสามจังหวัดชายแดนใต้
การได้ร่วมเป็นอาสาสมัครงานยะลาสตอรี่ของโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ช่วยเปิดโลก และทำให้หนูได้ทราบเรื่องราวที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเมืองยะลามาก่อนหลายเรื่องมาก งานนี้เกิดขึ้นจากที่กลุ่มนักวิจัยจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฟอร์มทีมเยาวชนในยะลามาร่วมกันคัดสรรเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมือง ก่อนจะจัดทำเป็นนิทรรศการเปิดให้เข้าชม
ลำพังแค่สถานที่จัดงานอย่างโรงแรมเมโทร ซึ่งหนูขี่รถผ่านบ่อยๆ แต่ไม่เคยสนใจมาก่อน ก็มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ของเมือง โดยเฉพาะการเป็นที่พักสำคัญของเกษตรกรยางพาราที่เข้ามาพักที่นี่เพื่อรอขายยางตอนเช้า เป็นต้น ขณะเดียวกันนิทรรศการที่นำเสนอภายในอาคารโรงแรมแห่งนี้ อย่างที่มาของไก่เบตง แบบอักษรจากป้ายร้านค้าในเมือง หรือสื่อศิลปะที่สะท้อนความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนใต้ ก็ทำได้อย่างสร้างสรรค์ในแบบที่ไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน อันนี้ไม่ได้อวยเพราะหนูเป็นทีมงานนะ แต่ดูจากผลตอบรับของผู้ที่เข้ามาชมในงาน ก็เป็นแบบเดียวกับหนูเช่นกัน (ยิ้ม)
หนูคิดว่างานงานนี้เหมือนย่อส่วนยะลาในรอบหลายปีหลังมานี้ไว้ในอาคารหนึ่งหลังและถนนหน้าอาคารอีกหนึ่งเส้น มันสะท้อนภาพยะลาที่หนูคุ้นเคยและรู้สึกผูกพันดี นี่คือเมืองเล็กๆ ที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย วิถีชีวิตผู้คนค่อนข้างแตกต่างกันมาก แต่ทุกคนกลับเป็นมิตร และพร้อมเปิดใจอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว และสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เกิดประวัติศาสตร์เฉพาะตัว ที่หนูคิดว่ามีคุณค่ามากพอให้เราต้องบอกเล่าต่อไป”
การีม๊ะ กูนิง
นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…