“หลายคนเข้าใจว่าการเป็นคนจัดตลาดจะต้องสวมเสื้อเชิ้ตผ้าลื่นๆ ถือกระเป๋าแบบอาเสี่ย และห้อยพระด้วยสร้อยทองเส้นโตๆ คอยเก็บเงินพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลยครับ (หัวเราะ) ผมก็แต่งตัวง่ายๆ เหมือนพ่อค้าทั่วไปแหละ ที่สำคัญ ผมเก็บค่าเช่าแผงแค่หลักสิบบาทเท่านั้น
ผมเรียนจบการตลาดมา แต่ไม่เคยมีความคิดว่าจบมาจะเป็นคนจัดตลาดเลย หลังเรียนจบผมไปทำงานบริษัทอยู่พักใหญ่ จนรู้สึกอิ่มตัว เลยกลับกาฬสินธุ์มาช่วยธุรกิจที่บ้าน ครอบครัวผมทำฟาร์มออร์แกนิก ชื่อสวนจารุวรรณ Organic พอกลับมา ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งก็พอดีกับที่สำนักงานพาณิชย์ฯ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาชุมชน เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำถนนคนเดินในรูปแบบตลาดวัฒนธรรม บนถนนในย่านเมืองเก่าข้างวัดกลาง เขาก็ชวนให้ผมไปช่วยจัดการให้ โดยผมก็เข้าไปดูแลเรื่องการต่อไฟ การจัดล็อคขายสินค้า และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ในทุกเย็นวันพฤหัสบดี
พอทำๆ ไปหลายครั้งเข้า เทศบาลเขาก็เห็นว่าผมดูแลพ่อค้าแม่ค้าดี และทางนั้นเขาได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ต้องการสร้างแม่เหล็กดึงดูดให้คนมาเที่ยวชมหอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์ที่อยู่ในอาคารศาลากลางหลังเก่า จึงมีการจัดตลาดสร้างสุขขึ้นทุกวันอังคาร ซึ่งยังเป็นตลาดนัดที่เชื่อมกับถนนคนเดินของพาณิชย์จังหวัดที่จัดอยู่แล้วใกล้ๆ กัน เทศบาลเขาก็ชวนให้ผมมาดูแลตลาดแห่งนี้ต่อ
ซึ่งก็พอดีกับที่โครงการตลาดเมืองเก่าสิ้นสุด จึงมีการย้ายถนนคนเดินมาจัดในที่เดียวกันรอบหอศิลป์ในวันพฤหัสบดี กลายเป็นว่าในทุกวันอังคารและพฤหัสบดี ผมจะดูแลสองตลาดนี้
ตลาดรอบหอศิลป์ที่จัดสัปดาห์ละสองวันนี้ จะแตกต่างจากตลาดนัดแห่งอื่นๆ คือพ่อค้าแม่ค้าส่วนมากจะเป็นคนในชุมชนเอง ไม่ใช่พ่อค้าเร่ที่ขายเป็นอาชีพ โดยที่มาก็เพราะว่าเจ้าภาพอยากกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชุมชน ก็เลยชักชวนผู้คนในชุมชนต่างๆ ทั้ง 41 ชุมชนในเทศบาล หาสินค้ามาขายที่นี่ บ้านไหนทำอาหารอร่อยๆ ก็มาขาย บ้านไหนมีงานหัตถกรรมก็เอามาขายได้ หรือกลุ่มทอผ้าไหม กลุ่มศิลปินก็สามารถนำของมาวางขายด้วยกันได้ โดยจะแบ่งพื้นที่อีกส่วนสำหรับพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพ ผสมกันไป รวมถึงยังมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมเรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชน รวมถึงพื้นที่แสดงความสามารถของคนรุ่นใหม่อยู่ในตลาดด้วย
และเพราะพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชน เราจึงแทบไม่เก็บค่าเช่าแผงเลย ก็จะคิดเงินหลัก 10-20 บาทต่อวัน ไว้เป็นค่าไฟและค่าจ้างคนทำความสะอาด อย่างที่บอกว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพ และทางเทศบาลก็อยากสนับสนุน ไปเก็บเขาวันละ 200-300 บาท พ่อค้าแม่ค้าก็ไม่น่าจะได้กำไรเท่าไหร่ งานที่ผมทำมันจึงมีลักษณะกึ่งๆ จิตอาสาไปโดยปริยาย
ก็ดูแลหมดเลยครับ ตั้งแต่การจัดสรรล็อคขายของ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ และการตบแต่ง เพื่อสร้างบรรยากาศให้น่าเดิน โดยคณะกรรมการตลาดจะมีอยู่ 5 คน ส่วนหนึ่งคือดึงประธานชุมชนเข้ามาด้วย กรรมการก็จะเป็นฝ่ายคัดสรรโควต้าของร้านค้าต่อจำนวนของชุมชน และส่งต่อให้ผมเพื่อจัดวางโซนนิ่ง
หลักๆ เลยผมจะไม่วางร้านขายสินค้าชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันไว้ใกล้กัน ก็จะเฉลี่ยรูปแบบของสินค้าให้ทั่วตลาด อีกอย่างคือจะวางผังแบบไม่ให้มีหัวและท้ายชัดเจน เพื่อดึงดูดให้คนเดินได้ทั่วและเลือกซื้อสินค้าได้ตลอดเส้นทาง
ตลาดสร้างสุขถือว่าได้รับเสียงตอบรับดี เป็นเพราะมีของที่ขายแตกต่างจากตลาดนัดคลองถมซึ่งเป็นตลาดนัดเอกชนเจ้าใหญ่ของเมือง ขณะเดียวกัน ในตลาดก็มีสีสันจากนักเล่นดนตรีเปิดหมวก การแสดงของเยาวชน ไปจนถึงวงเสวนาที่ชวนคนจากสาขาต่างๆ มาคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเมือง หมุนเวียนไปทุกสัปดาห์ ตลาดมันจึงมีสีสันเฉพาะตัวที่น่าสนใจ
พ่อค้าแม่ค้าที่มีอยู่ตอนนี้มีเกือบ 100 รายได้แล้วครับ ส่วนหนึ่งไม่เคยขายของมาก่อน แต่พอเทศบาลชวน แล้วปรากฏว่าขายดี เขาก็เลยหันมาขายของจริงจัง อย่างล่าสุด เทศบาลร่วมกับจังหวัดและมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จัดมหกรรมฟื้นใจเมือง ‘ภูมิถิ่น แก่งสำโรง โค้งสงเปือย’ พาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสร้างสุขไปจัดถนนคนเดินริมคลองปาว บริเวณศาลเจ้าพ่อโสมพะมิตร (4-6 มีนาคม 2566)
งานนั้นคึกคักมาก คึกคักถึงขนาดว่าเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเทศบาล 6 มาตั้งวงเล่นเพลงสตริงผสมกับโปงลาง พวกเขาได้เงินวันละเป็นหมื่นเชียวนะ และจากเดิมที่วางแผนไว้ว่าตลาดนี้จะจัดชั่วคราว 3 วัน ชาวบ้านมาบอกเทศบาลว่าอยากให้จัดต่อ เลยขยายเป็น 7 วัน หลังจากนี้ก็มีการคุยกันว่าอาจจะมีการจัดถนนคนเดินประจำสัปดาห์ที่นี่อีกแห่งด้วย
ผมปลื้มใจที่ได้จัดตลาดนัดที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนแห่งนี้ คือไม่ใช่แค่ได้เห็นคนในชุมชนขายของได้ แต่พอเห็นชาวบ้านทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะคนชราในเมืองมาเดินเล่น ทักทายเพื่อนฝูง หรือนั่งกินขนม เห็นภาพที่พวกเขาได้พักผ่อนและมีความสุขร่วมกัน ผมก็ชื่นใจ อย่างงานตลาดนัดริมคลองปาวนี่ จริงๆ แผนการว่าเปิดเย็นและปิดหัวค่ำ สักสองทุ่มก็พอ ปรากฏว่าสามทุ่มครึ่งแล้ว พวกเขายังนั่งเล่น นั่งคุยกันอยู่ ผมถึงกับออกปากชวนให้เขากลับ เพราะผมก็อยากกลับแล้ว (หัวเราะ)
ทุกวันนี้ ผมมีอาชีพกลายเป็นนักจัดตลาดไปแล้ว วันจันทร์-พุธจะทำตลาดสินค้าโอทอป อังคารและพฤหัสทำตลาดสร้างสุขตรงหอศิลป์ และวันศุกร์-อาทิตย์ ก็ไปดูตลาดของพาณิชย์จังหวัดที่จัดหน้าบิ๊กซี ก็สนุกดีครับ แม้จะวุ่นๆ กับการจัดการหน่อย แต่เห็นว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของได้ ผมก็ดีใจ”
สรรค์สกุล ถิตย์ผาด
นักจัดตลาดเมืองกาฬสินธุ์
“ระบบนิเวศอีสปอร์ตคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะผ่านการยกระดับศักยภาพของผู้คน” ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram หรือ YouTube ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสื่อสารหรือความบันเทิงอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเครื่องมือสร้างอาชีพ และพัฒนาทักษะของผู้คนทั่วโลก เช่นเดียวกับ “อีสปอร์ต” (Esports) หรือการแข่งขันวิดีโอเกม ที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ…
เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ไม่ใช่แค่เรื่องของเซ็นเซอร์ แพลตฟอร์ม หรือระบบ AI ที่แม่นยำ แต่หัวใจที่แท้จริงของมันคือ “ผู้คน” – เพราะถ้าขาดการรับฟังเสียงสะท้อน หรือกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เมืองจะไม่มีวันรู้ว่าควรก้าวไปทางไหนแต่ในโลกหลังโควิด-19 ที่ลานกิจกรรมถูกแทนที่ด้วยหน้าจอมือถือ—หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่บริหารเมืองกลับเข้าไม่ถึงประชาชนได้มากพอ…
“แม้จะเป็นการเล่นเกม แต่นครสวรรค์ก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะนี่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เปลี่ยนให้เมืองผ่านกลายมาเป็นจุดหมายของใครหลายคน” เมื่อเอ่ยถึงนครสวรรค์ คุณนึกถึงอะไร? ประตูสู่ภาคเหนือ, “เมืองปากน้ำโพ” ชุมทางการค้าทางเรือในอดีต, เทศกาลตรุษจีน, ขนมโมจิ, ดินแดนอาหารอร่อย หรือ “พาสาน” แลนด์มาร์กแห่งใหม่กลางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพจำเหล่านี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึง…
“เรามีโครงสร้างพื้นฐานในการเป็นสมาร์ทซิตี้พร้อมแต่ที่ผ่านมา เรายังไม่มีกลไกในการพัฒนาบุคคลในกรอบนี้และอีสปอร์ตจะกลไกหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากเด็กและเยาวชน” ไม่เพียงแต่เทศบาลนครนครสวรรค์จะเป็นหนึ่งในเทศบาลแห่งแรกที่ได้รับการคัดเลือกโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ให้เป็น เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตั้งแต่ปี 2564 หากแต่ในปัจจุบัน เทศบาลนครซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ…
“ผมไม่ได้ฝันว่าจะต้องมีซิลิคอนวัลเลย์ในนครสวรรค์แต่หวังว่าเราจะสามารถสร้างงานให้เด็กคนหนึ่งไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯไม่ต้องทิ้งบ้านเกิดไปเพราะไม่มีโอกาส” “ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพาโลกไปไกล เกมกลายเป็นสื่อที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างน่าทึ่งผมยกตัวอย่างลูกชายผม เขาเรียนอยู่ ป.1 มีเกมอยู่ 2 เกมที่เขาเล่นประจำ คือ Sprunki และ Roblox สองเกมนี้เน้นเรื่องการแปรรูปจินตนาการให้กลายเป็นรูปธรรม ตอนแรกผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกมนี้หรอก จนมาศึกษา…
“ผมไม่ได้ปฏิเสธการศึกษาในระบบ แต่ถ้าเราสามารถสร้างทางเลือกให้กับเด็กที่มีความฝันจริงจังผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ควรต้องหาวิธีส่งเสริมพวกเขา” “สำหรับการขับเคลื่อนอีสปอร์ตให้กลายเป็นหนึ่งในกลไกการพัฒนาเมือง ผมมองออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือ ผมเคยสอนวิชาอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่คณะบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา และตระหนักดีว่าสิ่งที่ทำให้ศาสตร์นี้ รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับผู้เรียน…