“ผมเรียนมาทางด้านบริหารงานบุคคล แต่มีความสนใจในด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ช่วงเป็นนักศึกษาจึงได้ทำกิจกรรมละครโรงเล็กและละครหุ่นกับเพื่อน ซึ่งพอได้เห็นเด็กๆ สนุกไปกับสิ่งที่เราทำ หัวใจเราเต้นแรงมาก เลยตั้งใจว่าพอจบออกมาคงจะทำงานด้านนี้
ที่สนใจเรื่องการพัฒนาเด็ก เพราะพบว่าการเรียนรู้ของเด็กที่ผ่านมาไม่ได้ตอบโจทย์ศักยภาพของเขาจริงๆ ซึ่งหมายรวมถึงในช่วงที่ผมเป็นเด็กด้วย เราต่างเป็นผลผลิตของการศึกษาที่โตเพียงข้างเดียว พอเรียนจบมาก็เข้าสู่ตลาดแรงงานในโลกทุนนิยม ส่วนศักยภาพที่เด็กแต่ละคนค้นพบระหว่างนั้น เมื่อไม่ได้สอดคล้องกับตลาด ก็จะไม่ได้ถูกนำมาใช้ โดยเหตุที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากหลักสูตรการศึกษา และการขาดพื้นที่และกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน
ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ผ่านสื่ออย่างการทำละครเป็นเครื่องมือในการค้นหาศักยภาพของเยาวชนได้ เพราะนี่คือส่วนผสมระหว่างจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าถึงข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร ขณะเดียวกันละครก็เป็นสื่อกลางเชื่อมให้เยาวชนเข้าใจในประเด็นต่างๆ ของชุมชนและสังคม
หลังเรียนจบ ราวปี 2544 ผมกับเพื่อนอีก 2 คน จึงตั้งกลุ่ม ‘มานีมานะ’ โดยเป็นกลุ่มคนทำละครเพื่อการศึกษา ใช้ละครโรงเล็กและละครหุ่นเป็นสื่อในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ขณะเดียวกันก็เปิดให้เยาวชนเข้ามาร่วมสร้างสรรค์ละครกับเรา โดยแรกเริ่มเราทำละครเพื่อพัฒนาเยาวชนในโรงเรียนก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับมาสู่ประเด็นสังคมอื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้าจะนะ ที่ใช้ละครเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาของชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ และสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้คนในพื้นที่อื่น รวมถึงชวนให้ทุกคนคิดถึงวิธีการที่วิถีชีวิตชาวบ้านจะอยู่ร่วมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นต้น
นอกจากเรื่องละคร เรายังสนใจเรื่องสื่อและการรับรู้ของผู้คนในสังคม ราวปี 2550 จึงขับเคลื่อนกิจกรรมให้ผู้คนรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่ในยุคแรกที่สื่อโฆษณาพยายามกล่อมให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองไม่สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา เพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างไม่สิ้นสุด ไปจนถึงการเท่าทันโซเชียลมีเดีย ความเป็นส่วนตัว ไซเบอร์บูลลี่ ไปจนถึงเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของสื่อที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เป็นต้น
และแน่นอน เมื่อเราสนใจเรื่องสื่อซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนหรือเครือข่ายบุคคล จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่สนใจเรื่องเมือง ในช่วงหลังเราจึงพัฒนาประเด็นจากการเท่าทันสื่อ สู่การเท่าทันเมือง มองเมืองให้เป็นสื่อสื่อหนึ่ง และถอดรหัสเมืองผ่านพื้นที่ สถานที่ และประเด็นทางสังคม ให้ผู้คนเห็นถึงความหลากหลาย โดยมีเป้าหมายให้หาดใหญ่เป็นเมืองสำหรับทุกคน (Inclusive City)
ควบคู่ไปกับการทำละคร และการรณรงค์เรื่องสื่อและการพัฒนาเมืองผ่านกิจกรรมและเสวนาต่างๆ กลุ่มมานีมานะ ก็พยายามเชื่อมกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจอยากพัฒนาหาดใหญ่ เช่นที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการริทัศน์ (RTUS – Rethink Urban Spaces) และเชื่อมกลุ่มเยาวชนริทัศน์หาดใหญ่ เข้ากับหน่วยงานต่างๆ ของเมือง โดยทางกลุ่มเขาจะมีโปรเจกต์แก้ปัญหาและพัฒนาเมืองต่างๆ ตั้งแต่การทำสื่อดิจิทัล การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ไปจนถึงแนวทางการแก้ปัญหาจราจรและขยะ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของเมือง จัดทำเป็นข้อมูลและข้อเสนอเชิงนโยบายให้หน่วยงานรัฐต่างๆ นำไปพิจารณาต่อไป
อย่างที่บอกผมมีเป้าหมายอยากให้หาดใหญ่เป็นเมืองสำหรับทุกคน ผมเกิดและโตที่นี่ ได้เห็นเยาวชนหลายคนที่เรียนหนังสือและถูกฟูมฟักในเมืองเมืองนี้ แต่เมื่อจบการศึกษาออกมา เมืองกลับไม่มีงานหรือกระทั่งพื้นที่ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิต คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จึงต้องออกไปหางานที่อื่น ไปเป็นแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ที่อื่น
แต่ถ้าเราสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมกับเมืองตั้งแต่ระดับเยาวชน ขณะเดียวกันพร้อมไปกับที่ภาครัฐพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อย่างทางเท้า ขนส่งมวลชน พื้นที่สีเขียวและอื่นๆ ภาครัฐก็ควรต้องรับฟังเสียงเยาวชนในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของเมืองเมืองนี้ ออกแบบเมืองไปด้วยกัน เมืองเรายังขาดอะไร ก็ช่วยกันหามาเติมให้เต็ม หาดใหญ่จะกลายเป็นเมืองที่ไม่ทิ้งคนรุ่นเก่าแถมยังดึงดูดคนรุ่นใหม่ เป็นเมืองที่มีอนาคตสำหรับทุกคน”
โตมร อภิวันทนากร
ผู้ก่อตั้งกลุ่มมานีมานะ และผู้เชี่ยวชาญโครงการริทัศน์
https://www.facebook.com/maaniimaana
หมายเหตุ: โครงการริทัศน์ (RTUS – Rethink Urban Spaces) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย สถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย มูลนิธิการศึกษาเพื่อพลเมืองไทยและมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวคิดที่นำโดยเยาวชนในการมองพื้นที่เมืองในประเทศไทยด้วยมุมมองใหม่ เพื่อสร้างสรรค์เมืองที่นับรวมทุกคน (Inclusive Cities) ให้เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมือง ได้มามีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…
เมืองเรามีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม แต่พื้นที่ระดับชุมชนที่ชาวบ้านได้มาจัดกิจกรรมร่วมกัน แบบที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ถนนสาธารณะน่ะ ยังไม่มี ถ้ามีจะดีมาก ๆ “ครอบครัวพี่แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่นอกเขตเทศบาล กระทั่งพี่ชายและพี่สาวสอบติดโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช แม่ก็เลยตัดสินใจย้ายเข้ามาทำงานในเมืองแม่มาปลูกบ้านอยู่แถวถนนพัฒนาการคูขวางราวปี 2521 ก่อนหน้าที่เขาจะตัดถนนเป็น 4 เลน ย่านที่เราอยู่ค่อนข้างเสื่อมโทรม เหมือนขยะใต้พรมของเมือง…
การจะทำให้เมืองเราเป็นเมืองอัจฉริยะปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือการมีโรงเรียนที่ตอบโจทย์การศึกษาด้านเทคโนโลยี “เวลาพูดถึงโรงเรียนในสังกัดเทศบาล หรือกระทั่งโรงเรียนวัดเนี่ย คนส่วนมากมักนึกถึงการเป็นโรงเรียนขยายโอกาส หรือทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่ทางเลือกหลักของผู้ปกครองส่วนใหญ่นักอย่างไรก็ตาม กับโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดทั้งหมดด้วย กลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่กลายเป็นโรงเรียนที่เด็ก ๆ ในนครต้องสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน กลายเป็นโรงเรียนชั้นนำในกลุ่มปฐมวัยไปสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้นายกเทศมนตรีสมนึก…
แม้เราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักแต่แก่นสารของมันคือการคิดนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนหัวใจสำคัญจึงไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นผู้คน “หลังเรียนจบผมก็กลับมานครบ้านเกิด เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเทศบาล ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์แผนและนโยบายในปัจจุบันสี่ปีที่แล้ว ตอน ดร.โจ (กณพ เกตุชาติ) หาเสียงเพื่อรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชสมัยแรก ท่านได้เสนอนโยบายเรื่องเมืองอัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อทำให้เมืองน่าอยู่ พอท่านได้รับเลือกเข้ามา บทบาทของผมคือการช่วยท่านเขียนแผนดังกล่าวผมได้เรียนรู้จาก…