ผมเรียนจบด้านไอทีโดยทำงานอยู่กรุงเทพฯ ต่ออีกประมาณ 2 ปี แล้ววันหนึ่ง ผมก็บอกแม่ว่าอยากกลับมาทำธุรกิจร้านกาแฟที่บ้าน
แม่รีบปฏิเสธ เขาอยากให้ผมทำงานในสายที่เรียนมามากกว่า เพราะเห็นว่าเป็นงานที่มั่นคงดี จะกลับมาเสี่ยงดวงกับการเปิดธุรกิจที่เราไม่เคยทำที่นี่ทำไม แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม จำได้ว่าช่วงที่ทำร้าน แม่ไม่เข้ามาดูเลย กว่าจะมาก็ตอนร้านเปิด
ทำไมจึงอยากกลับมาอยู่ที่นี่หรือครับ? ผมผูกพันกับแก่งคอย ความทรงจำดีๆ อยู่ที่ไหน เราก็อยากอยู่ที่นั่น และคิดว่าเมืองนี้มันยังมีโอกาสในการทำธุรกิจอีกพอสมควร ตอนที่ตัดสินใจจะกลับมาอยู่คือเมื่อ 9 ปีที่แล้ว แก่งคอยแทบไม่มีร้านกาแฟสด มีก็แค่โรงสีกาแฟของพี่ต้อม (นพพล ธรรมวิวัฒน์) คิดว่าถ้าเปิดในแบบของเราอีกร้านก็น่าจะมีลูกค้า และเอาจริงๆ ตอนนั้นค่อนข้างไฟแรง ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน อยากให้บ้านเรามีบรรยากาศแบบไหน ก็ลงมือทำให้มีแบบนั้น
Café 33 มาจากบ้านเลขที่ของอาคารหลังนี้คือ 33 ผมยังเกิดปี 2533 และมีชื่อเล่นชื่อเอ็ม (M) ที่เมื่อเอียงข้างก็ออกมาเป็นเลข 3 มันพ้องกันหมด ก็เลยตั้งชื่อนี้… ผมไม่ซื้อหวยครับ ไม่แน่ใจว่าเลขนี้ออกไปหรือยัง (ยิ้ม)
ตอนเปิดแรกๆ ก็เหนื่อยหน่อย อย่างที่บอกว่าร้านกาแฟเมื่อ 9 ปีที่แล้ว มันใหม่มากๆ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกินกาแฟราคาสูงกว่ากาแฟที่สามารถชงเองที่บ้านได้ ไหนจะเรื่องความขม ความเปรี้ยวของรสอีก ก็ค่อยๆ ขายไป ดีหน่อยที่ได้ลูกค้าเป็นคนทำงานโรงงานรอบๆ แก่งคอย ก็เลยพอถูไถ จนขึ้นปีที่สามถึงลงตัว มั่นใจว่าอยู่ได้ล่ะ
อย่างที่บอกครับว่าลูกค้าหลักคือคนทำงานโรงงานรอบๆ ส่วนใหญ่เป็นคนเจนวายที่มองหาสถานที่พักผ่อนหรือนั่งเล่น นักท่องเที่ยวก็เยอะรองลงมา ซึ่งก็ได้มาจากโซเชียลมีเดียที่มีคนมารีวิวต่อๆ ไป หรือกลุ่มคนที่แวะพักแก่งคอยสักแป๊บนึงก่อนเดินทางต่อไปเขาใหญ่หรืออีสาน คนแก่งคอยเองยังถือว่าน้อยครับ แต่ก็พอมีลูกค้าประจำในเมืองบ้าง
ผมใช้เมล็ดกาแฟหลักจากจอมทอง เชียงใหม่ และก็มีของต่างประเทศอย่างเอธิโอเปียและบราซิลด้วย ตอนแรกก็รับกาแฟจากโรงคั่วมา จนราว 5 ปีก่อนก็ทำโรงคั่วของตัวเองไว้ที่ร้าน จะได้ควบคุมคุณภาพหรือลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง โดยนอกจากกาแฟก็มีขนมเค้กครับ ผมอยู่กับแฟนแค่สองคน เลยไม่คิดถึงการขายอาหาร เราถนัดกาแฟกับเค้กมากกว่า ร้านก็ไม่ได้ใหญ่มาก เท่านี้จึงเอาอยู่
คราฟท์เบียร์นี่เอาไว้ดื่มเองมากกว่าครับ (หัวเราะ) แต่เร็วๆ นี้ มีแผนจะเปิดบาร์ช่วงเย็น ร้านที่ติดกันนี้เลย กำลังก่อสร้างอยู่ ก็คิดว่าได้ลูกค้ากลุ่มเจนวายที่ทำงานโรงงานนี่แหละครับ เป็นที่ผ่อนคลาย ที่ฟังเพลงตอนเย็น
ทำไมคนรุ่นใหม่ในเมืองน้อย? เรื่องนี้เข้าใจได้ เพราะเมืองไม่มีงานหรือพื้นที่ให้เขาน่ะครับ แต่ถ้ารอบนอกเมือง ก็มีคนรุ่นใหม่ทำงานโรงงานอยู่เยอะนะครับ เพื่อนผมที่เรียนมัธยมด้วยกันที่แก่งคอย 4-5 คน เขาก็กลับมาทำงานที่นี่หมด ทำงานการไฟฟ้าบ้าง เครือซีเมนต์ไทยบ้าง หรือทำธุรกิจส่วนตัว เอาจริงๆ คนรุ่นใหม่ก็ไม่น้อยนะครับ เพียงแต่ในย่านตัวเมืองยังไม่ค่อยมีสถานที่ให้คนกลุ่มนี้ได้ใช้ประโยชน์หรือมีกิจกรรมอะไรให้พวกเขาทำมากกว่า
และเพราะย่านใจกลางเมืองไม่มีพื้นที่ คนรุ่นใหม่ก็ไม่อยู่กัน เมืองมันจึงขาดแรงผลักดัน ทั้งที่อันที่จริงเรามีต้นทุนที่สามารถขับเคลื่อนหรือต่อยอดไปได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม พักหลังๆ มาก็เห็นแนวโน้มที่ดีนะครับ มีภาคเอกชนที่รวมตัวกันพยายามโปรโมทเรื่องการท่องเที่ยว มีเทศกาลใหม่ๆ ขึ้นมาสร้างสีสัน ลูกค้าร้านกาแฟผมหลายรายเขามาจากที่อื่นเพื่อที่จะไปปีนเขาที่แก่งคอย หรือที่ตำบลชะอมก็กำลังเป็นจุดหมายใหม่ของกิจกรรมแคมป์ปิ้ง ซึ่งได้รับความนิยมมาก
สำหรับผม แก่งคอยมาเที่ยวได้เรื่อยๆ นะ ไม่ไปธรรมชาติ ก็มีบรรยากาศสงบๆ ริมแม่น้ำป่าสักในเมืองได้พักผ่อน อย่างร้านผมขายมา 9 ปี ก็ยังไม่เจอฤดูกาลไหนที่เป็นโลว์ซีซั่นจริงๆ บางช่วงอาจเงียบหน่อย แต่ก็พอจะไหลไปได้เรื่อยๆ ถ้าโลว์จริงๆ ก็น่าจะเป็นวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือนมากกว่า เพราะความที่ลูกค้าเป็นคนทำงานโรงงานเสียเยอะ ช่วงนั้นเขาอาจจะลุ้นรางวัลอยู่บ้านหรือที่ออฟฟิศ
มีหลายครอบครัวที่อยากให้ลูกหลานกลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านตอนที่พ่อแม่แก่ชรา แต่ผมก็เห็นหลายครอบครัว กว่าลูกหลานจะกลับมาได้ ก็อาจสายไปแล้วหรือมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเกินไป ส่วนตัวของผม ไม่ต้องรอวันนั้นเลยครับ ทุกวันนี้ได้กลับมาทำงานที่รักและใช้เวลากับที่บ้าน ถ้าเกิดใครคนหนึ่งต้องจากไปก่อน ผมไม่เสียดายเลย เพราะได้กลับมาดูแลและใช้เวลาร่วมกันกับเขาตอนที่ยังแข็งแรงอยู่
ตอนนี้ผมมีลูกแล้ว คิดว่าจะให้เขาเรียนที่นี่ก่อน ส่วนในอนาคตเขาอยากเรียนต่อหรือทำงานที่ไหนก็เรื่องของเขา ไม่ได้จะบังคับอะไร แต่สำหรับผม ผมตั้งใจจะอยู่ที่นี่จนบั้นปลาย ไม่ไปไหนแล้ว”
ชวลิต โยธานารถ
เจ้าของร้าน Café 33
https://www.facebook.com/mycafe33
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…