“พวกเรามีทั้งลูกหลานชาวปากพูนดั้งเดิม อีกส่วนเป็นคนมุสลิม และลูกหลานคนเพชรบุรีที่อพยพมา เป็นชาวประมงเหมือนกัน แต่ก็มีวิถีที่แตกต่างกันเล็กน้อย
อย่างถ้าเป็นลูกหลานคนเพชรจะมีเครื่องมือจับปลาอีกแบบที่เรียกว่า ‘หมรัม’ เอาท่อนไม้มาร้อยต่อกันและล้อมเป็นทรงกลม ล่อให้ปลาเข้ามากินอาหาร และเราก็ขึ้นปลาจากหมรัมได้เลย ส่วนถ้าเป็นคนปากพูนแต่เดิมเลยก็จะใช้อวน ใช้ไซ รวมถึงโพงพาง ซึ่งอย่างหลังนี้เราเลิกใช้ไปแล้วเพราะผิดกฎหมาย
เมื่อก่อนคนปากพูนก็ใช้เครื่องมือผิดกฎหมายกันแหละครับ โพงพาง ไซตัวหนอน ไอ้โง่ หรือลากตะแกรง ก็จับปลากันได้เยอะ แต่เพราะเครื่องมือพวกนี้มันจับปลาได้หมด ไม่เว้นปลาเล็ก ปลาน้อย หรือลูกปลา ช่วงหลังๆ เราเลยจับปลาได้น้อยขึ้น เพราะสัตว์น้ำมันไม่มีโอกาสขยายพันธุ์
ยกตัวอย่างเช่นลากตะแกรงสำหรับจับหอย เครื่องมือนี้มันปักลงไปใต้ดินประมาณหนึ่งเมตร พอลากทีมันก็พลิกหน้าดินในลำคลอง ทำให้น้ำเสียด้วย สมัยที่เครื่องมือผิดกฎหมายยังไม่เยอะ พอน้ำแห้งๆ เราลงไปงมหอย ชั่วโมงหนึ่งจับมาได้ตั้ง 3 กิโลกรัม แต่พอคนมาใช้เครื่องมือกันเยอะ กลายเป็นหาไม่ได้เลย เพราะเครื่องมือมันกวาดไปหมด อยากกินหอย จึงต้องไปซื้อเขากิน เสียศักดิ์ศรีความเป็นชาวประมงหมด
พอเราจับปลาได้น้อย ก็เลยมาคุยกัน และผู้ใหญ่บ้านกระจาย ชวาสิทธิ์ เขาก็เห็นปัญหาว่าที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเครื่องมือผิดกฎหมายทั้งนั้น เลยมีการรณรงค์ให้เลิกใช้ และหันมาใช้อวนปู อวนกุ้ง หรือเบ็ด เหมือนเดิม เขาก็ช่วยเราหลายอย่าง ทั้งการให้กู้เงินดอกเบี้ยต่ำไปซื้อเครื่องมือ ส่งเสริมการแปรรูปเสริมรายได้ และการทำธนาคารสัตว์ทะเล เพื่อปล่อยให้สัตว์ได้ขยายพันธุ์ จนสุดท้ายประมงปากพูนก็ไม่มีเครื่องมือผิดกฎหมายอีก
พอไม่ใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย ปริมาณปลาที่เราจับได้แต่ละวันก็น้อยลง แต่พอผ่านไปสักสามสี่เดือน ก็เห็นผล สัตว์น้ำในคลองปากพูนรวมถึงหน้าอ่าวกลับมาชุกชุมอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ถึงเราไม่ได้ใช้ แต่คนข้างนอกมาหาปลาที่ปากอ่าวหน้าชุมชนเราโดยใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย ปลามันก็จะหมดอยู่ดี ผู้ใหญ่บ้านก็ร่วมกับพวกเราตั้งกลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังการใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 เรามีกันประมาณ 70 กว่าคนก็แบ่งได้ 16 ชุด ผลัดเวรไปเฝ้าระวังที่แพของชุมชนที่เราร่วมกันทำ และจอดไว้หน้าอ่าว ถ้าเจอเรือจากข้างนอกเข้ามา แล้วใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย เราก็วิทยุไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดำเนินคดี
แน่นอน ชาวประมงข้างนอกเขาไม่พอใจหรอก อย่างถ้าเราใช้อวนถูกกฎหมายหาปลาที เราจะได้เฉลี่ยคืนละ 500-600 บาท แต่ถ้าใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย เขาทำคืนหนึ่งได้ 10,000-20,000 บาท เราไปบอกเขาไม่ให้ใช้ เขาก็ไม่ฟังอยู่แล้ว
เจอมาแทบทุกรูปแบบครับ เคยโดนเรือจากข้างนอก 10 ลำมาล้อมเราไว้ บางครั้งเขาก็มีสายคอยรายงานว่ากลุ่มพวกเราและเจ้าหน้าที่อยู่ตรงไหน มีเผชิญหน้ากันบ้าง ก็ด่ากันไปมา แต่ไม่ถึงกับใช้ความรุนแรง ปีนี้เจ้าหน้าที่จับได้ 20 กว่าลำแล้ว (สัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 – ผู้เรียบเรียง) มีจับได้ทั้งคนทั้งเรือ บางรายก็โดดเรือหนี ทิ้งเรือไว้ โดยปกติถ้าจับได้ เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการยึดเรือ ยึดเครื่องมือ ส่วนเจ้าของเรือจะโดนปรับ
ทุกวันนี้ก็ยังพบเรือข้างนอกใช้เครื่องมือผิดกฎหมายอยู่เรื่อยๆ อย่างที่ว่า รายได้มันเยอะกว่ามาก แต่พอมีกลุ่มเฝ้าระวัง ทางนั้นเขาก็จะไม่ค่อยมาแถวปากอ่าวปากพูนเท่าไหร่ ทรัพยากรในลำคลองก็มีมากขึ้น อย่างพวกเราวันหนึ่งจับปลาขายได้ 500-600 บาท ก็อยู่ได้แล้ว บางวันได้ถึง 1,000 บาท นี่กลับบ้านมาฉลองเลย และพอช่วงกลางปี ผึ้งมาทำรังที่ป่าโกงกางอีก พวกเราบางคนก็เข้าไปเก็บน้ำผึ้งมาขาย มีรายได้เสริมเข้ามา น้ำผึ้งป่าโกงกางปากพูนรสชาติดีนะครับ ไม่เหมือนผึ้งป่าหรือผึ้งเลี้ยง เพราะมันเป็นธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีในป่าโกงกาง
ถามว่าอยากรวยไหม ใครจะไม่อยากล่ะครับ แต่ถ้ารวยด้วยการจับปลาได้เยอะๆ และพบว่าในอนาคต ไม่เหลือปลาให้จับอีกแล้ว มันก็เปล่าประโยชน์ เราก็รวยได้แป๊บเดียว แล้วก็กลับมาจน ทรัพยากรบ้านเราก็ไม่เหลือให้ลูกหลานได้กิน สู้ช่วยกันอนุรักษ์ไว้ อยู่ร่วมกันยาวๆ จะดีกว่า
เพราะถ้าปากอ่าวและลำคลองเราสมบูรณ์ ชีวิตเราก็สบายไปด้วยครับ วันไหนขี้เกียจออกเรือ แค่เอาเบ็ดมาตกในคลอง หรือลงไปงม ก็ได้ปลาและปูมากินแล้ว เหมือนมีครัวที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบให้เรากินฟรีๆ อยู่หลังบ้านเลย”
ประชา พวงมณี / ธนา มานพับ / สุนทร ธรรมรักษ์ / จรวย นาคเพง
ชาวประมงในตำบลปากพูน
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…