“ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ผมมีโอกาสลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านและอำเภอต่างๆ ในจังหวัดพะเยา และพบโรงเรียนที่ถูกปิดและทิ้งร้างหลายแห่ง บางแห่งยังมีอาคารที่มีสภาพดีอยู่เลย จึงนึกเสียดายที่จังหวัดเรามีสถานที่ที่มีศักยภาพหลายแห่ง แต่ไม่ได้ถูกใช้งาน
และระหว่างสำรวจความต้องการของประชาชน ผมพบว่าเมืองของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายสองเรื่องสำคัญ คือ หนึ่ง. การจัดสรรอำนาจและงบประมาณที่มักกระจุกตัวอยู่ในตัวเมือง พื้นที่ห่างไกลบางแห่งไม่ได้รับการพัฒนา บางหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ ที่ไม่เคยได้ใช้คอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ
และสอง. ในเชิงสังคม ทั้งในแง่ที่เมืองเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และปัญหาที่เกิดจากช่องว่างระหว่างวัย ตรงนี้เองที่ผมคิดว่าเราน่าจะพัฒนาโรงเรียนที่ถูกทิ้งร้างตามพื้นที่ต่างๆ เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงและส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างผู้คนสามรุ่นด้วยกัน
นั่นก็พอดีกับที่ทางโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยพะเยาเข้ามาเป็นแนวร่วม จากเดิมที่ทางโครงการทำในเขตตัวเมืองพะเยาอย่างเดียว ผมเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะขยายพื้นที่การเรียนรู้ไปทั่วทั้งจังหวัด จึงประสานไปที่กรมธนารักษ์ที่ดูแลโรงเรียนตามอำเภอต่างๆ ที่ถูกทิ้งร้าง เพื่อขอพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นให้เป็นศูนย์สามวัย พื้นที่การเรียนรู้สำหรับคนสามวัยในระดับท้องถิ่น ซึ่งเริ่มดำเนินการนำร่องไปแล้ว 9 ศูนย์ใน 9 อำเภอของจังหวัดพะเยา
แนวความคิดของศูนย์สามวัยคือการใช้การศึกษาเชื่อมโยงคนสามรุ่นเข้าด้วยกัน และช่วยแก้ปัญหาที่คนแต่ละรุ่นพบ โดย อบจ. ในฐานะเจ้าของพื้นที่ก็ประสานความร่วมมือด้านทรัพยากรบุคคลและองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ในรูปแบบของการทำ MOU อย่างเป็นทางการ
อย่างวัยแรกคือเด็กและเยาวชน เราส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ ม.พะเยา และร่วมกับทางมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) พะเยา ให้เขามาช่วยแก้ปัญหากลุ่มเด็กที่สุ่มเสี่ยงต่อยาเสพติด
วัยที่สองคือวัยคนทำงาน เราพบว่าแม้พะเยาเราจะมีสินค้า OTOP หรือผลิตภัณฑ์จากชุมชนค่อนข้างมาก แต่ปัญหาสำคัญคือผู้ประกอบการขายของไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้วิธีการทำการตลาด ศูนย์แห่งนี้ก็จะเชื่อมโยงกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแบรนด์จากโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยทาง อบจ. ก็ช่วยจัดหาอุปกรณ์ให้
ขณะเดียวกัน เมื่อเราปลูกฝังเด็กๆ ในวัยแรก(เด็กและเยาวชน)ได้แล้วก็ทำให้เด็กๆ สามารถทำงานกับผู้ใหญ่ในด้านการขายสินค้าออนไลน์ ช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยไปพร้อมกันด้วย
และวัยที่สามคือผู้สูงอายุ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้สูงอายุที่เป็นอัลไซเมอร์หรือผู้ป่วยติดเตียงเป็นภาระที่ปิดกั้นโอกาสของลูกหลาน อบจ. ก็ได้ร่วมกับคณะแพทย์ศาสตร์และพยาบาลศาสตร์ ในการใช้ศูนย์สามวัยเป็นเดย์แคร์สำหรับผู้สูงอายุ ดึงนักศึกษาแพทย์และพยาบาลฝึกงานจากคณะมาฝึกทักษะการดูแลคนชราให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึงลูกหลานที่ต้องดูแลคนเฒ่าคนแก่หรือผู้ป่วยติดเตียง ก็สามารถเรียนรู้ได้จากนักศึกษาแพทย์และพยาบาลโดยตรง
ปัจจุบันเราขับเคลื่อนศูนย์สามวัยอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว 2 พื้นที่ คือในอำเภอเมืองและอำเภอแม่ใจ โดยให้ทางมหาวิทยาลัยส่งนักศึกษาที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ มาประจำที่ศูนย์เพื่ออบรมชาวบ้านในพื้นที่ผ่านรูปแบบของหลักสูตรการฝึกงานของนักศึกษา นอกจากนี้ ทาง อบจ. ยังจัดตั้งกองการศึกษาขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลและจัดการเรื่องการศึกษาของทั้งจังหวัด รวมถึงขับเคลื่อนโครงการศูนย์สามวัยนี้ด้วย
ผมตั้งใจให้ศูนย์แห่งนี้เป็นนโยบายหลักในการพัฒนาเมือง เป็นเครื่องมือกระจายความรู้และความเจริญไปทั่วทั้งภูมิภาค และทำให้ความรู้เป็นต้นทุนในการดำรงชีวิตของชาวบ้านอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญ พะเยาของเราเป็นเมืองเกษตร เราอาจไม่เจริญทางวัตถุเท่าเชียงรายหรือเชียงใหม่ แต่จุดแข็งของเราคือเราเป็นคลังอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ รวมถึงส่งออกไปยังต่างประเทศ การที่เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ติดอาวุธด้านความรู้ การตลาด และเทคโนโลยี มีส่วนให้พวกเขาสามารถยกระดับผลผลิตทางการเกษตรให้มีมาตรฐาน มีความเข้าใจเรื่องการทำเกษตรปลอดภัยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ไปจนถึงการใช้การตลาดนำการผลิต ไม่ต้องถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป
ในฐานะ อบจ. นอกจากดูแลและส่งเสริมสวัสดิภาพของประชาชนตามบทบาทหน้าที่แล้ว เรายังจะมุ่งมั่นขยายโอกาส และเชื่อมประสานหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับองค์ความรู้และคุณภาพชีวิตของชาวพะเยาทุกๆ คนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมต่อไป”
อัครา พรหมเผ่า
นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา