“หลังจากที่พระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อันนำมาซึ่งการสำรวจขุดค้นอย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการโดยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี ในปี พ.ศ. 2537 ผู้คนจากทั่วสารทิศก็ต่างมาที่นี่ รวมถึงที่อื่นๆ ในภาคอีสานที่มีรายงานการค้นพบ เพื่อร่วมสำรวจการขุดค้น โดยบางส่วนยังลักลอบนำกระดูกไปเป็นของส่วนตัว บางคนนำไปบูชาประหนึ่งเครื่องลางของขลัง บางคนก็เอาไปฝนทำยาด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าจะเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งนั่นล่ะครับ ต่อมาบางคนก็เป็นนิ่วเพราะเหตุนี้
ภายหลังที่ทางกรมทรัพยากรธรณีได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ก่อนจะพัฒนามาเป็นพิพิธภัณฑ์สิรินธร เมื่อปี 2551 นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเป็นที่รวบรวม ศึกษาวิจัย และจัดแสดงข้อมูลด้านธรณีวิทยาและไดโนเสาร์ที่ค้นพบในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ของเราก็ตั้งใจจะสื่อสารด้วยว่าซากฟอสซิลและกระดูกไดโนเสาร์ที่มีการค้นพบเป็นสมบัติชาติ และเป็นต้นทุนในการศึกษาวิจัย ที่มีส่วนช่วยยกระดับเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในจังหวัด
นักธรณีวิทยาค้นพบว่าพื้นที่ในภาคอีสานเคยเป็นที่ราบลุ่มน้ำขนาดใหญ่เมื่อหลายล้านปีก่อน ซึ่งเป็นที่อยู่ของไดโนเสาร์หลากสายพันธุ์ เมื่อกาลเวลาผันผ่านมาถึงปัจจุบัน เราจึงค้นพบซากไดโนเสาร์ในภูมิภาคนี้มากกว่าภาคอื่นๆ
สำหรับการขุดค้นซากไดโนเสาร์ในประเทศไทย มีการค้นพบครั้งแรกที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2519 จนนำมาสู่การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งแรกของประเทศไทย (พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง) หลังจากนั้นก็เป็นที่ภูกุ้มข้าวของเรา ซึ่งค้นพบกระดูกมากถึง 700 ชิ้น เป็นแหล่งขุดพบซากไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์ที่สุดของไทย
ในพื้นที่ 333 ไร่ พิพิธภัณฑ์สิรินธรแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคืออาคารจัดแสดง นำเสนอเรื่องราวทางธรณีวิทยาตั้งแต่การกำเนิดโลก 4,600 ล้านปีก่อน กระทั่งการกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก จนมาถึงยุคไดโนเสาร์ ตามมาด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จนมาถึงยุคสมัยของมนุษย์ ผ่านวัตถุจัดแสดงที่เป็นฟอสซิลและกระดูกไดโนเสาร์ที่มีการค้นพบจริงๆ รวมถึงกระดูกไดโนเสาร์จำลอง
อีกส่วนของพิพิธภัณฑ์คือหลุมขุดค้น ที่มีการพบกระดูกไดโนเสาร์ของจริงบริเวณภูกุ้มข้าว ปัจจุบันเรายังเก็บซากไดโนเสาร์ที่ขุดพบภายในหลุมขุดค้น เพื่อให้ผู้มาเยือนได้รับชม
เรามักพูดเสมอว่าพิพิธภัณฑ์สิรินธรคือห้องสมุดทางธรณีวิทยาขนาดใหญ่ ที่เปิดให้เด็กๆ เข้ามาอ่าน มาเรียนรู้ และมาค้นพบแรงบันดาลใจ ขณะเดียวกัน เรายังมีคลังตัวอย่างซากไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สำหรับอ้างอิงสายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่มีการค้นพบใหม่ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ทีมงานของเราก็ยังคงขุดค้นซากไดโนเสาร์ในหลายภูมิภาคของประเทศไทย
ในฐานะที่ผมเป็นนักสื่อความหมายประจำพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีหน้าที่นำข้อมูลยากๆ ที่นักวิจัยค้นพบมาเล่าให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย ผมจึงมักได้ฟังคำถามที่เด็กหลายคนสงสัยอยู่เสมอว่า ใครคือนักขุดค้นไดโนเสาร์ หรือต้องเรียนอะไรมา ซึ่งนั่นเป็นคำถามที่ดีมากเลยนะครับ เพราะหมายถึงเด็กๆ เขาอาจจะสนใจที่จะเป็นแบบนั้นบ้าง
คำตอบคือนักขุดค้นไดโนเสาร์มีชื่ออาชีพว่า นักบรรพชีวินวิทยา ซึ่งหมายถึงผู้ศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณ โดยพื้นฐานการศึกษาของอาชีพนี้ คือธรณีวิทยาและชีววิทยา ในประเทศไทยยังถือว่าขาดแคลนนักบรรพชีวินวิทยาอยู่ เพราะคนเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะค่อนข้างน้อย อาจจะติดภาพว่าจบมาแล้วหางานยาก แต่จริงๆ เรามีทุนวิจัยทั้งในและต่างประเทศพอสมควร
ส่วนบทบาทของผม นอกจากการสื่อความหมายแล้ว ยังทำค่ายเยาวชนด้วย โดยโครงการนี้เริ่มมาจากที่โรงเรียนต่างๆ มาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ และคุณครูก็มักถามเราว่าไม่รับทำค่ายเหรอ ผมก็เลยเริ่มบริการด้านองค์ความรู้ด้านนี้ ด้วยการจัดค่ายทั้งแบบหนึ่งวัน สองวันหนึ่งคืน และสามวันสองคืน แล้วแต่ความสะดวกของสถานศึกษา
ถ้ามาร่วมค่ายโปรแกรมหนึ่งวัน เราก็นำชมพิพิธภัณฑ์ทั้งสองส่วนตามปกติ พร้อมมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ร่วมสนุก ส่วนถ้าเป็นสองวันหนึ่งคืนเราก็มีที่พักให้ และเปิดให้เด็กๆ ร่วมฐานกิจกรรมต่างๆ พร้อมนำชมพิพิธภัณฑ์แบบ night museum เปลี่ยนบรรยากาศมาชมตอนกลางคืน ส่วนสามวันสองคืน จะเพิ่มเติมตรงที่ชวนเด็กๆ ออกภาคสนาม ได้ทดลองขุดซากไดโนเสาร์เองเลย
นอกจากทำค่ายแล้ว เรายังมีโครงการส่งต่อองค์ความรู้ โดยร่วมกับเด็กๆ เยาวชน รวมถึงผู้เกษียณอายุในอำเภอสหัสขันธ์ เพื่อมาร่วมกิจกรรมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นการอบรมอาสาสมัครมัคคุเทศก์ ให้คนในชุมชนรอบๆ นำชม เป็นต้น
และอย่างที่ผมเล่าไว้ตอนต้น นอกจากการเป็นห้องสมุดด้านธรณีวิทยาที่สำคัญของประเทศ พิพิธภัณฑ์สิรินธรยังมองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอำเภอสหัสขันธ์และจังหวัดกาฬสินธุ์ ผมจึงมักบอกว่าการเอาซากไดโนเสาร์ไปไว้ที่หิ้งพระที่บ้าน หรือเอาไปทำยา มันไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะสิ่งเหล่านี้มันคือหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เปิดโลกของการเรียนรู้ให้แก่คนอื่น ที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ช่วยยกระดับเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวได้ แทนที่คุณจะเอาซากไดโนเสาร์กลับไปเป็นของส่วนตัว คุณเอาสัญลักษณ์ของความเป็นเมืองไดโนเสาร์ไปทำเป็นของที่ระลึกขายนักท่องเที่ยวดีกว่า ซึ่งเมื่อเราสื่อสารไปแบบนั้น หลายคนก็นำซากไดโนเสาร์ที่เก็บไว้มาคืน
และมันก็ไม่ใช่แค่การเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด กาฬสินธุ์ยังเป็นอุทยานธรณีวิทยาระดับประเทศ ซึ่งสามารถต่อยอดไปจนถึงระดับโลกผ่านองค์กรยูเนสโกได้ด้วย โดยการไปถึงจุดนั้น มันไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ของเราอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือกับชุมชนไปจนถึงความเข้มแข็งของจังหวัด ผมจึงย้ำเสมอว่า ซากไดโนเสาร์ที่ขุดพบได้ มันไม่ควรเป็นของใคร แต่เป็นสมบัติของทุกคนในประเทศ”
เฉลิมชัย จิตราช
เจ้าหน้าที่กิจกรรมและนักสื่อความหมายประจำพิพิธภัณฑ์สิรินธร
http://www.sdm.dmr.go.th/website/
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…