“พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติได้รับพระราชทานนามพิพิธภัณฑ์ฯ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเจริญพระชนมพรรษาครบรอบ 60 พรรษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับบริจาคสิ่งของหลายพันชิ้นจากศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ ดร.วินิจ วินิจนัยภาค และภรรยา คุณหญิงพรรณี วินิจนัยภาค จึงมอบหมายให้คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเป็นผู้ดูแล เพราะสิ่งของที่ได้รับมีตั้งแต่ฟอสซิลหลายล้านปีจนถึงงานวัตถุทางชาติพันธุ์ อาจจะไม่ได้พิเศษ แต่มีของหลากหลาย มีที่มา มีเรื่องเล่า ซึ่งสาขามานุษยวิทยามีการเรียนการสอนเรื่องโบราณคดี ชาติพันธุ์ มรดกวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ศึกษา การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ จึงจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านมานุษยวิทยา ซึ่งในไทยก็มีพิพิธภัณฑ์ด้านนี้น้อยมาก โดยเนื้อหามานุษยวิทยาคือความเข้าใจมนุษย์ จุดประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ฯ ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของกับมนุษย์ การที่เราเห็นสิ่งของ ศึกษาสิ่งของ เราก็จะเข้าใจมนุษย์ได้ เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลาย
พิพิธภัณฑ์ฯ นอกจากช่วยด้านการจัดแสดง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนและวิจัยของอาจารย์และนักศึกษา เช่น วิชาว่าด้วยเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มาศึกษาว่าในพิพิธภัณฑ์ฯ มีวัตถุสิ่งของอะไรบ้าง ? วิชาการวิจัยและการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ ก็ให้สิ่งของในพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นโจทย์ เด็กเลือกประเด็นที่สนใจไปจัดนิทรรศการ เช่น เขาสนใจประเด็นมูเตลู ก็ดูว่าในพิพิธภัณฑ์ฯ มีอะไรที่เกี่ยวกับมูเตลู แล้วคุณจะนำมาจัดแสดงยังไง ? ซึ่งคำว่า “มูเตลู” มาจากชื่อภาพยนตร์ของอินโดนีเซีย (เรื่อง Penangkal limu Teluh) กลายเป็นคำที่คนเอามาใช้เป็นวัตถุสิ่งของทางความเชื่อ ซึ่งเด็กก็ทำออกมาได้น่าสนใจ เชื่อมโยงกับโลกปัจจุบันได้ในแง่ที่ว่าเป็นความเชื่อที่เอามาใช้ เพื่อมีเสน่ห์ เพื่อร่ำรวย นำไปสู่การผลิตลูกปัด กำไล แล้วเขาก็คิดต่อว่านิทรรศการน่าจะเอาสินค้ามูเตลูมาขายด้วย หรือเด็กบางกลุ่มก็ทำเรื่องเพศ พูดถึงตุ๊กตาบาร์บี้ ตุ๊กตาที่คนเล่นกันรู้สึกเป็นของซึ่งเป็นผู้หญิง ถ้างั้นประเด็นเรื่องเพศหญิงจะพูดถึงยังไงได้บ้างให้กระเถิบก้าวหน้าไป ก็เป็นเรื่องดีที่เด็กได้ไอเดีย และเราก็เรียนรู้จากเด็กได้เยอะโดยผ่านตัววัตถุทั้งหลาย
ดร.วินิจ เจ้าของเดิมมองด้านมานุษยวิทยาเหมือนกัน คือสนใจว่าของเหล่านั้นสะท้อนอะไรบางอย่าง ตัวอย่างของสองชิ้น คือหนึ่ง หัวโขนปูนปั้น เขาเขียนเล่าว่า สมัยนั้นพาแฟนไปศาลาเฉลิมไทย คือโรงละครโรงหนังที่สร้างความสุขให้เขาในวัยหนุ่ม เขารู้สึกประทับใจ แล้ววันหนึ่งรื้อทิ้ง เขาไปเจอหัวโขนนี้ในร้านขายของเก่าก็ซื้อเก็บไว้ ก็เป็นตัวแทนซึ่งเชื่อมโยงประสบการณ์ตัวเขากับยุคสมัย ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง แต่คือสังคมด้วย ก็เป็นของสำคัญของพิพิธภัณฑ์ฯ ซึ่งเป็นของง่าย ๆ แต่คนอาจมองข้าม กับอีกชิ้นคือ ตู้อ้อยควั่น ของคนที่เป็นแม่ค้าขายอ้อยควั่นในแถบถนนราชดำเนินช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งสมัยนั้น คนขายอ้อยควั่นจะสวย แม่ค้าคนนี้ก็สวย เธอจะแบกมาเป็นตู้กระจก ใส่อ้อยควั่น มีน้ำแข็งวางไว้ เขาก็เขียนเล่าว่า มีพวกขุนนางสมัยรัชกาลที่ 6 ชอบมาซื้อ ซึ่งเขาว่ามันก็สำคัญเลยเอามา เรียกว่าทุกชิ้นมีเรื่องเล่า แต่บางชิ้นเขาซื้อมารวม ๆ บางทีก็เป็นโครงกระดูกขุดมา ซึ่งทำให้เรามีของหลากหลาย แต่ข้อเสียก็คือบางชิ้นอาจไม่รู้ที่มา ซึ่งในทางพิพิธภัณฑ์ฯ ก็อาจนำไปสู่การอธิบายได้น้อยไปหน่อยว่ามาจากไหน ? ชุมชนไหน ? แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่มุมอื่น ไม่ได้มองในแง่ที่มา เราก็จะเข้าใจมันได้ สามารถศึกษาต่อไปได้ เปลี่ยนแปลงไปอธิบายในหลาย ๆ แง่มุมได้ ไม่ใช่แง่มุมประวัติศาสตร์อย่างเดียว เช่น กำไลกระดูก วันหนึ่งอาจจะถูกมองหรือถูกจัดนิทรรศการในแง่ที่เป็นเครื่องประดับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นสิ่งของเราสามารถหมุนเวียนมาจัดแสดงได้ตามแง่มุมของประเด็นหรือตามที่คนสนใจ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ฯ
เนื่องจากเราเป็นพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา ทำให้เราเปิดประเด็นได้กว้างขวางมาก ครั้งหนึ่งเราจัดทำนิทรรศการ “เจ้าชายน้อย : หนังสือ ของสะสมและการสนทนาข้ามวัฒนธรรม” ถามว่าเจ้าชายน้อยคืออะไร ? คนส่วนมากมองในฐานะหนังสือแปล เรื่องเด็ก เรื่องความรัก ในมุมสังคมวิทยามานุษยวิทยา เราก็มองว่าเป็นการเผชิญหน้ากันทางวัฒนธรรมระหว่างเจ้าชายน้อยกับคนพื้นเมือง ประเด็นเรื่องคนอื่น การที่เจ้าชายน้อยเดินทางไปดวงดาวต่าง ๆ เหมือนคนอื่น คนต่างชาติ คนต่างด้าว ที่เราไม่ได้รู้จัก เราไปทำความรู้จักกัน เราอาจจะมองเขาโดยที่เราไม่เข้าใจเขา แต่ถ้าเราสามารถมองเขาอย่างเข้าใจเขา นับถือเขาในฐานะซึ่งเป็นคนที่เท่าเทียมกับเรา ก็ทำให้เรามองเห็นตัวเจ้าชายน้อยในมุมมองที่ต่างจากเดิม ซึ่งก็ดีใจที่คนสนใจในแง่ที่ว่าเราไม่ใช่แค่เชื้อเชิญให้มาดูของสะสมเท่านั้น แต่เราใช้สิ่งของเหล่านี้เป็นเครื่องมือพาไปสู่เรื่องอื่น สู่ประเด็นทางสังคมวิทยามานุษยวิทยา ซึ่งมันใหญ่ไปกว่านั้น และเป็นประเด็นร่วมสมัย
สืบเนื่องกันมาก็เป็นนิทรรศการ “ฃุนน้อย : เจ้าชายน้อย ฉบับภาษาถิ่นสุโขทัย – ลายสือไท” เรามองว่าถ้าหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยแปลออกมาสามร้อยกว่าภาษาได้ ก็น่าจะลองแปลเป็นภาษาถิ่นของไทยเราเองได้ ที่ผ่านมาคนเห็นภาษาไทย แต่เราจัดพิมพ์เป็นภาษาถิ่นในประเทศไทย และไปไกลกว่านั้นในแง่ที่ว่าพาย้อนกลับไปสู่ความเป็นภาษาสุโขทัยด้วยการทำเป็นตัวเขียนภาษาสุโขทัย เพราะภาษาสุโขทัยไม่เคยได้ถูกเอามาเขียนใหม่ สุดท้ายอยู่แค่ในจารึก เราก็อยากเอามาเขียนเรื่องราวขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายสำหรับคนแปลใหม่ ๆ ว่าจะแปลในเรื่องบางเรื่องออกมาให้เป็นภาษาถิ่นได้ยังไง? เช่น ต้นไทรยักษ์ เราก็ใช้คำว่า ต้นง้าว หรือบางเรื่องที่ไม่เคยมีในสมัยสุโขทัยเราก็ต้องคิดหาคำมาใช้ ก็เป็นเหมือนการข้ามวัฒนธรรม ข้ามภาษา ข้ามเวลา ระหว่างนี้เราก็กำลังจัดทำนิทรรศการ “Primate and Me” ซึ่งก็ฉีกไปจากเดิมอีก เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวานรซึ่งมีบรรพบุรุษเดียวกัน ขณะที่ลิงทั้งหลายยังแพร่พันธุ์ มีหลากหลายสปีชีส์ มนุษย์มีเหลือแค่สปีชีส์เดียว คือโฮโมเซเปียนส์ เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเราจะเรียนรู้ชีวิตของลิงได้อย่างไรบ้างเพื่อจะเข้าใจตัวเราเองด้วย ทิศทางการจัดนิทรรศการตอนนี้สามารถทำได้หลากหลายมาก เป็นการระเบิดขึ้นของความรู้ของสาขาหลากหลาย เป็นแรงบันดาลใจให้แต่ละพิพิธภัณฑ์คิดนิทรรศการออกมาน่าสนใจได้
ในพื้นที่ปทุมธานีหรือในรังสิต ก็มีพิพิธภัณฑ์จำนวนมาก มีอพวช. (องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ) ซึ่งมีตั้ง 4-5 พิพิธภัณฑ์อยู่ในนั้น มหาวิทยาลัยกรุงเทพก็มีพิพิธภัณฑ์เซรามิก ต่อไปก็จะมีสวนสัตว์ในพื้นที่ธัญบุรี ซึ่งคนอาจจะมานอนปทุมฯ สักคืนสองคืนเพื่อมาดูพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ให้ได้ครบ
ปทุมธานีจะเป็นจังหวัดแห่งการเรียนรู้ได้เลย เพียงแต่ว่าระหว่างที่จะเกิดขึ้นคือปัญหาเรื่องการเดินทาง การจัดนิทรรศการหรืออีเวนต์อาจจะไม่มากพอ ต้องมีหัวข้อนิทรรศการน่าสนใจเพื่อดึงคนเข้ามา ถ้าผนวกกับการปรับตัวของจังหวัด ที่จะให้สามารถเดินทางไปได้สะดวก รถสาธารณะเข้าถึงได้ ในอนาคตเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่อาจจะร่วมมือกันจัดเป็นชุดนิทรรศการ จัดในความเชี่ยวชาญต่างกันแต่ในธีมเดียวกัน คนมาดูหลายพิพิธภัณฑ์ในคราวเดียว ในส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เองมีพื้นที่พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ มีอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ห้องสมุดที่คนทั่วไปเข้าใช้ได้ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ห้องนิทรรศการ ห้องดนตรี มีสวนสำหรับพักผ่อน ออกกำลังกาย คณะศิลปกรรมศาสตร์ก็มีโรงละคอนแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นทิศทางชัดเจนของมหาวิทยาลัยฯ ที่จะพัฒนาศูนย์เหล่านี้ให้คนเข้ามาเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต”
ผศ. สุดแดน วิสุทธิลักษณ์
อาจารย์สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ผศ. ดร.มณีรัตน์ วงษ์ซิ้มหัวหน้าโครงการโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดCIAP | นายฉัตรกุล ชื่นสุวรรณกุลที่ปรึกษาโครงการ CIAP ประธานกรรมาธิการสถาบันพัฒนาเมือง และอดีตรองนายกเทศบาลเมืองสระบุรี ในงาน CITY SOLUTION DAY : เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่27 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์…
การบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญของหน่วย บพท.” โดย รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในงาน City Solution Days: เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่ วันที่…
“ในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด และในฐานะนายกสมาคมเทศบาลนครและเมือง ซึ่งในสมาคมเรามีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย เทศบาลนครประมาณ 35 แห่ง และ เทศบาลเมืองประมาณ 220 แห่ง ผมอยากเชิญชวนพวกเรามองเมืองของเราไปด้วยกัน โจทย์วันนี้ของประเทศไทย ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนเราเป็นคนที่มีจมูกรูเดียว พึ่งพาส่วนกลาง และเดินทางมาอย่างนี้มาโดยตลอด จนมีการกระจายอำนาจเมื่อปี 2540 แต่ก็เป็นการกระจายอํานาจค่อนข้างที่จะเป็น ลูกครึ่งลูกผสม คือมีรัฐบาลคอยกําหนดกรอบทั้งการปฏิบัติงานและงบประมาณ ท้องถิ่นก็ทำงานในระดับพื้นที่ไป จริงอยู่ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการพัฒนาเชิงพื้นที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่นที่มีความตั้งใจจริง และแสวงหาโอกาสที่อยากจะพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างตลอดเวลา วันนี้สมาคมเทศบาลนครและเมือง มีโอกาสรวมตัวกันในการที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ แล้วหาช่องทางในการที่จะส่งเสริมต่อยอด ซึ่งในปีพ.ศ.2567 ก็เกิดความร่วมมือกับทาง บพท.…
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…