“ผมเออร์ลี่รีไทร์ปี พ.ศ. 2555 ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตโชกโชนพอสมควร เคยเป็นเด็กเกเรหนีออกจากบ้าน เคยเป็นกะลาสีเรือในต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาทำงานโรงปูนเกือบทั้งชีวิต คือนอกจากทักษะที่ได้มา ได้เรียนรู้สารพัด ทั้งวัฒนธรรมการทำงานแบบฝรั่ง การเมืองแบบพวกพ้องของคนไทย ความกล้าที่จะสื่อสารสิ่งที่เราคิด และอื่นๆ
และสิ่งที่พอจะบอกได้ว่าเป็นบทเรียนจากชีวิตของผมเองนี้ คือความรู้เป็นของสาธารณะ เป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนควรต้องส่งต่อให้คนรุ่นหลัง อย่าหวงวิชา
อย่างทำปูนซีเมนต์มานี่เห็นได้ชัด ผมโตมาในยุคที่คนรุ่นเก่าเขากีดกันคนรุ่นใหม่ ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครยอมแบ่งปัน ซึ่งน่าเศร้าที่หลายคนก็ตายไปกับความรู้ที่มี ความรู้เลยสูญหายไปด้วย ผมผ่านมาได้ก็เพราะต้องขวนขวายความรู้ด้วยตัวเอง ครูพักลักจำเขาบ้าง หรือบางครั้งไซท์หน้างาน ผมยังแอบไปฝึกขับรถตักตินเลย คือเข้าใจได้ว่าบางงานอุปกรณ์มันแพง ซ่อมบำรุงยาก กลัวเด็กจะทำเสียหาย แต่ถ้าคุณไม่สอนงานแต่เนิ่นๆ งานก็ค้างที่คุณอยู่ไม่กี่คน มันไม่มีประสิทธิภาพ ผมแอบเรียนจนเป็น ทีนี้พอรุ่นผมเป็นซีเนียร์บ้าง มีความรู้อะไรนี่บอกคนรุ่นหลังหมดเลย
เนื่องจากตอนทำงานผมสนุกกับงานมาก พอเกษียณออกมา ช่วงแรกๆ ที่ว่างมันก็เคว้ง ไม่รู้จะทำอะไร ผมก็ไม่ใช่นักวิชาการที่จะเที่ยวไปสอนใครเขาได้ แต่คิดว่าตัวเองพอมีประสบการณ์และมีแรง เลยหันไปทำงานจิตอาสา ทำหลายชมรมเลย ชมรมสิ่งแวดล้อม เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม ไปจนถึงเป็นจิตอาสาโรงพยาบาล ซึ่งหน้าที่หลัง ผมทำต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
ต้องบอกอย่างนี้ จนทุกวันนี้ การที่ชาวบ้านไปโรงพยาบาลรัฐ ก็ยังต้องเจอกับขั้นตอนการลงทะเบียนและรักษาที่หลากหลาย บางครั้งเขาก็สื่อสารกับหมอและพยาบาลไม่เข้าใจ ทางโรงพยาบาลเขาก็มีความคิดชวนคนวัยเกษียณอย่างพวกผมมาเป็นจิตอาสา คอยอธิบายลำดับขั้นตอน 1-2-3-4 ว่าคนไข้ใหม่ต้องทำยังไงบ้าง ต้องไปชั่งน้ำหนักตรงนี้ ไปตรวจความดันตรงนั้น เป็นต้น
และความที่ผมชอบเรียนรู้อยู่แล้ว ผมเลยพูดได้หมดทั้งอังกฤษและภาษาถิ่น คนไข้เป็นลาวมาผมก็พูดลาว คนญวนมาผมก็พูดญวน เลยช่วยเหลือเขาได้ เรื่องภาษาถิ่นนี่ก็ตลกดี สมัยเด็กๆ ผมไม่กล้าพูดเลยนะ ผมคนหนองแซงมีเชื้อลาว แต่ตอนเด็กๆ ไม่กล้าพูดลาว กลัวเพื่อนล้อ ไม่มั่นใจเลย มาเปลี่ยนเอาตอนไหนก็ไม่รู้ที่พบว่าจริงๆ เราพูดได้หลายภาษานี่คือแต้มต่อ มันเป็นเสน่ห์ด้วย (หัวเราะ)
นอกจากงานที่โรงพยาบาล ถ้าแก่งคอยมีงานอะไรที่ต้องการความร่วมมือจากชาวบ้าน ผมก็พยายามไปร่วมกับเขาหมดแหละ เพราะมีภาพฝันลึกๆ อยากให้เมืองเราเป็นเหมือนเมื่อสัก 50 ปีก่อน ที่ผู้คนถ้อยทีถ้อยอาศัย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่ได้เห็นเงินเป็นที่ตั้ง เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมแบบนี้มันหายไป พอเห็นความเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่จะเชื่อมโยงชุมชนเข้ากับการทำให้แก่งคอยเป็นเมืองน่าอยู่ ให้ ‘ผู้คน’ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา หาใช่การเอา ‘เงิน’ เป็นที่ตั้ง จึงรู้สึกถึงบรรยากาศแบบในอดีต ก็ยินดีที่ไปร่วมงานกับเขา
ไปร่วมทั้งในฐานะที่ช่วยประสานนู่นนี่ ไปแต่งเพลง แต่งบทกวีอ่านให้คนร่วมกิจกรรมฟัง และไปเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ กับเขา อย่างปีที่แล้ว หม่อง (นพดล ธรรมวิวัฒน์) เขาทำโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ ชวนคนแก่งคอยเดินสำรวจเมืองตัวเอง และพาวิทยากรที่เป็นอาจารย์ดังๆ ระดับประเทศมาแบ่งปันบทเรียนจากเมืองต่างๆ มาเปรียบเทียบกับแก่งคอย ผมก็ไปฟังกับเขา ได้ความรู้ใหม่ๆ มาเยอะ และก็เพิ่งเห็นว่าบ้านเราเนี่ยยังมีต้นทุนในการพัฒนาอีกไม่น้อย
ถามว่าในเมื่อต้นทุนเมืองเรามีพร้อม ทำไมยังไม่เดินหน้าอย่างที่ควรจะเป็นใช่ไหม? แหม่… ผมมันก็ไม่ได้เรียนสูงด้วย บอกไป ท่านๆ เขาก็ไม่ฟังกันหรอกครับ แต่ถ้าให้ตอบ ผมมองว่าไม่ใช่แค่แก่งคอยบ้านเรา แต่มันคือประเทศทั้งประเทศ ที่ยังติดกับระเบียบราชการที่ไม่ทันความเปลี่ยนแปลง ผมอยู่มาหกสิบกว่าปีแล้ว ระบบมันไม่ต่างจากสมัยก่อนเท่าไหร่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป เมืองมันเคลื่อนต่อได้ก็จริง แต่ถามว่าพัฒนาไหม… ก็ไม่ เพราะวิสัยทัศน์มันไม่ได้ถูกฝังในระบบ
และยิ่งวัฒนธรรมที่เจ้านายพูดอะไรถูกหมดทุกอย่างนี่ด้วย คนตำแหน่งต่ำกว่าไม่กล้าแย้งคนตำแหน่งสูงกว่านี่เห็นได้ชัด ผมจึงเห็นว่าจะโครงการหรือกิจกรรมอะไรก็ตามแต่ การมีระบบระเบียบน่ะจำเป็น แต่คุณต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกคนที่มีส่วนกับโครงการนั้นด้วย คนต้องเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา และทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน รับฟังกันและกัน ไม่ใช่บอกว่าฉันตำแหน่งสูง ฉันเรียนมาสูง ฉันรู้ดีที่สุด เป็นแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากแย้ง โครงการใดๆ มันก็ไปต่อไม่ได้”
สมคิด ดวงแก้ว
พลเมืองแก่งคอย
“ระบบนิเวศอีสปอร์ตคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะผ่านการยกระดับศักยภาพของผู้คน” ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram หรือ YouTube ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสื่อสารหรือความบันเทิงอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเครื่องมือสร้างอาชีพ และพัฒนาทักษะของผู้คนทั่วโลก เช่นเดียวกับ “อีสปอร์ต” (Esports) หรือการแข่งขันวิดีโอเกม ที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ…
เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ไม่ใช่แค่เรื่องของเซ็นเซอร์ แพลตฟอร์ม หรือระบบ AI ที่แม่นยำ แต่หัวใจที่แท้จริงของมันคือ “ผู้คน” – เพราะถ้าขาดการรับฟังเสียงสะท้อน หรือกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เมืองจะไม่มีวันรู้ว่าควรก้าวไปทางไหนแต่ในโลกหลังโควิด-19 ที่ลานกิจกรรมถูกแทนที่ด้วยหน้าจอมือถือ—หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่บริหารเมืองกลับเข้าไม่ถึงประชาชนได้มากพอ…
“แม้จะเป็นการเล่นเกม แต่นครสวรรค์ก็ไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะนี่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เปลี่ยนให้เมืองผ่านกลายมาเป็นจุดหมายของใครหลายคน” เมื่อเอ่ยถึงนครสวรรค์ คุณนึกถึงอะไร? ประตูสู่ภาคเหนือ, “เมืองปากน้ำโพ” ชุมทางการค้าทางเรือในอดีต, เทศกาลตรุษจีน, ขนมโมจิ, ดินแดนอาหารอร่อย หรือ “พาสาน” แลนด์มาร์กแห่งใหม่กลางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพจำเหล่านี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึง…
“เรามีโครงสร้างพื้นฐานในการเป็นสมาร์ทซิตี้พร้อมแต่ที่ผ่านมา เรายังไม่มีกลไกในการพัฒนาบุคคลในกรอบนี้และอีสปอร์ตจะกลไกหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากเด็กและเยาวชน” ไม่เพียงแต่เทศบาลนครนครสวรรค์จะเป็นหนึ่งในเทศบาลแห่งแรกที่ได้รับการคัดเลือกโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ให้เป็น เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตั้งแต่ปี 2564 หากแต่ในปัจจุบัน เทศบาลนครซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ…
“ผมไม่ได้ฝันว่าจะต้องมีซิลิคอนวัลเลย์ในนครสวรรค์แต่หวังว่าเราจะสามารถสร้างงานให้เด็กคนหนึ่งไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯไม่ต้องทิ้งบ้านเกิดไปเพราะไม่มีโอกาส” “ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพาโลกไปไกล เกมกลายเป็นสื่อที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างน่าทึ่งผมยกตัวอย่างลูกชายผม เขาเรียนอยู่ ป.1 มีเกมอยู่ 2 เกมที่เขาเล่นประจำ คือ Sprunki และ Roblox สองเกมนี้เน้นเรื่องการแปรรูปจินตนาการให้กลายเป็นรูปธรรม ตอนแรกผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกมนี้หรอก จนมาศึกษา…
“ผมไม่ได้ปฏิเสธการศึกษาในระบบ แต่ถ้าเราสามารถสร้างทางเลือกให้กับเด็กที่มีความฝันจริงจังผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ควรต้องหาวิธีส่งเสริมพวกเขา” “สำหรับการขับเคลื่อนอีสปอร์ตให้กลายเป็นหนึ่งในกลไกการพัฒนาเมือง ผมมองออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือ ผมเคยสอนวิชาอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่คณะบริหารและการจัดการ มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา และตระหนักดีว่าสิ่งที่ทำให้ศาสตร์นี้ รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับโลกดิจิทัล สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับผู้เรียน…