“พวกเรารู้จักกันเพราะความสนใจในหนังตะลุง บางคนรู้จักเพราะเป็นเพื่อนร่วมคณะ แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักจากการประกวดการแสดงหนังตะลุงของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ซึ่งจะจัดขึ้นในงานบุญเดือนสิบของทุกปี จนนำมาสู่การร่วมชมรมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ของมหาวิทยาลัย
หนังตะลุงอยู่ในวิถีชีวิตของคนใต้ ทั้งในงานเทศกาล งานบุญ งานรื่นเริง หรือกระทั่งงานศพ เราเรียกคนเชิดและพากย์หนังว่านายหนัง โดยในแต่ละคณะจะต้องมีนายหนังแค่คนเดียว มีตัวละครให้เชิดกี่ตัวก็ว่าไป นายหนังจะต้องรับบทในการเล่าเรื่องและพากย์เสียงพูดคุยให้ตัวละครทั้งหมด นายหนังที่เก่งจะแยกบุคลิกตัวละครแต่ละตัวออกมาอย่างชัดเจน และทำให้ผู้คนติดตามเรื่องราวด้วยความสนุกสนานจนจบ
เราหลายคนในกลุ่มอยากเป็นนายหนังเพราะมีโอกาสได้ดูนายหนังเก่งๆ เชิดหุ่น หรือเราบางคนก็มีความสนใจอยู่ในสายเลือด เพราะเป็นลูกหลานของศิลปินหนังตะลุงอยู่แล้ว แม้จะสนใจศิลปะการแสดงเหมือนกัน แต่เราก็ล้วนมีจุดเด่นแตกต่างกัน บางคนเก่งในการขับกลอน บางคนเก่งเรื่องการพากย์เสียงได้อย่างรื่นหูและสนุก บางคนเก่งในด้านการอนุรักษ์แบบแผนดั้งเดิมไว้ และบางคนก็เก่งในเรื่องไหวพริบและการสร้างมุขตลกที่ล้อไปกับสถานการณ์สังคม
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าหนังตะลุงจะเล่นเฉพาะแต่เรื่องรามเกียรติ์ หรือวรรณกรรมพื้นบ้านดั้งเดิม แต่จริงๆ แล้วในยุคหลัง ก็มีคณะหนังตะลุงหลายคณะเขียนบทละครขึ้นมาใหม่ บ้างก็ทำละครจากนิยายสมัยใหม่ หรือปรับบทละครดั้งเดิมให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เราจึงจะได้เห็นมุขที่เป็นกระแสสังคมถูกเล่าในหนังไม่น้อย หนังตะลุงสมัยนี้จึงไม่เพียงเป็นสื่อบันเทิงของชาวบ้าน แต่ยังเป็นสื่อสร้างสรรค์ที่สะท้อนความเป็นไปของสังคมและการเมืองไปพร้อมกัน
เมืองนครถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคณะหนังตะลุงมากที่สุดในประเทศ เพราะแม้ในยุคหลังมานี้จะมีมหรสพสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังนิยมจ้างหนังตะลุงไปแสดงตามงานต่างๆ อยู่ ซึ่งก็อย่างที่บอก คณะหนังตะลุงหลายคณะต่างมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง มีทั้งสายอนุรักษ์ที่เป็นที่ถูกใจของคนสูงวัย รวมถึงสายตลกโปกฮาที่เล่าเรื่องร่วมสมัย เช่น ‘คณะน้องเดียว ลูกทุ่งวัฒนธรรม’ ของเดียว สุวรรณแว่นทอง นายหนังผู้พิการทางสายตา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
โดยหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงในการอนุรักษ์หนังตะลุงให้อยู่คู่กับเมืองนครไว้ คือ อาจารย์วาที ทรัพย์สิน อาจารย์ที่ก่อตั้งชมรมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ของพวกเรา ขณะเดียวกัน อาจารย์ก็ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์บ้านหนังตะลุง ทำหน้าที่เผยแพร่ภูมิปัญญาเรื่องนี้แก่ผู้ที่สนใจ และล่าสุดทางคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ก็มีแผนจะทำโรงหนังตะลุงของมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยเปิดการแสดงอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ถามว่ายุคสมัยเปลี่ยน แล้วหนังตะลุงจะสูญหายไปกับกาลเวลาไหม ในมุมมองของพวกเรา ไม่คิดว่าอย่างนั้นนะครับ อาจจะเพราะเราเติบโตมาแบบนี้และเห็นคนรุ่นเรารวมถึงรุ่นน้องอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ และอยากฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเองเป็นนายหนังหรือทำงานอยู่ในคณะหนังตะลุง ขณะเดียวกัน ทั้งสถาบันการศึกษาและทางจังหวัดก็มีการส่งเสริมการอนุรักษ์หนังตะลุงอยู่เรื่อยมา
แต่ก็คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย หากเมืองนครจะมีพื้นที่กลางที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ได้มาแสดงผลงานของตัวเองอย่างต่อเนื่องบ้าง อาจจัดแสดงสัปดาห์หรือเดือนละครั้งในตัวเมือง ให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนนครได้มาดู เรามีภาพฝันไกลๆ ที่อยากพัฒนาแวดวงหนังตะลุงให้มีคุณภาพและเป็นที่สนใจในระดับที่ใครก็ตามที่มาเยือนเมืองนคร ยอมควักเงินซื้อตั๋วเข้าชม แบบการแสดงละครเวทีหรือมหรสพในต่างประเทศ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ อาชีพนี้ไม่เพียงน่าภาคภูมิใจ แต่ยังมั่นคงและยั่งยืนอีก”
โจม-ธนวัฒน์ ไทรแก้ว, โอม-ณัฐพล บัวจันทร์,
ไบร์ท-อติวัฒน์ ทรงศิวิไล, ยูฟ่า-คุณากร ประมุข
และน้ำมนต์ เทิดเกียรติชาติ
กลุ่มหนังตะลุง ชมรมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…